วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 1 : หลินหมิง Rewrite


บทที่ 001 หลินหมิง


ในเมืองลิขิตฟ้าซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรลิขิตฟ้า มีสำนักเจ็ดแก่นแท้ที่ยิ่งใหญ่บนภูเขาโจว สำนักเจ็ดแก่นแท้เป็นสำนักต่อสู้ที่ตั้งขึ้นโดยเจ็ดผู้เชี่ยวชาญแห่งตระกูลศิลปะการต่อสู้ที่มีมากว่าหกร้อยปี นอกจากนี้ยังเป็นเพียงสำนักเดียวที่ตั้งขึ้นโดยราชอาณาจักรลิขิตฟ้า


ในฐานะที่เป็นสำนักเจ็ดแก่นแท้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จึงได้ครอบครองวรยุทธ์พื้นฐานและมรดกวรยุทธ์ เป็นเรื่องธรรมชาติที่ที่แห่งนี้จะกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนุ่มสาวจำนวนมากที่ต้องการฝึกศิลปะการต่อสู้ คุณสมบัติที่ใช้ในการรับสมัครเข้าสำนักจัดอยู่ในเกณฑ์สูง มันจะไม่เป็นการพูดเกินจริงที่จะกล่าวว่ามีเพียงหนึ่งในล้านจะสามารถที่จะผ่านเข้าไปได้


ภายใต้ความร้อนแผดจ้าของฤดูร้อนเด็กหนุ่มยืนอยู่ภายในป่าของภูเขาโจว เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าขณะที่เขายืนเปลือยอกมองต้นไม้ใหญ่ เขาปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่าไปที่ลำต้นของต้นไม้อย่างรุนแรง


"เพล้ง" "เพล้ง!" เสียงสะท้อนหนักออกไปรอบ ๆ ป่า ชั้นของเปลือกไม้บนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกแรงของหมัดจมลงอย่างเห็นได้ชัดเผยให้เห็นพื้นผิวไม้สีเทา บนพื้นผิวของมันอาจจะเห็นร่องรอยของเลือด


ชื่อของชายหนุ่มผู้นี้คือหลินหมิง เขามีพรสวรรค์ระดับสามในการต่อสู้


ในราชอาณาจักรลิขิตฟ้า, ครึ่งหนึ่งของพลเมืองไม่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้และไม่เหมาะสมไปที่จะเข้าสู่เส้นทางของศิลปะการต่อสู้ ส่วนอีกครึ่งที่มีความสามารถนั้นร้อยละแปดสิบของพวกเขามีพรสวรรค์ระดับหนึ่ง แม้ว่าคนเหล่านี้มีการฝึกศิลปะการต่อสู้พวกเขาก็ไม่สามารถไปต่อได้มากเท่าไหร หนึ่งในสิบของคนที่เหลือมีโอกาสร้อยละเก้าสิบของการมีพรสวรรค์ระดับสอง ถ้าคนเหล่านี้ขยันในการฝึกศิลปะการต่อสู้พวกเขาก็อาจโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้อย่างที่พวกเขาไฝ่ฝัน


หลินหมิงซึ่งมีพรสวรรค์ระดับสามจึงได้รับการพิจารณาอยู่ชั้นสูง อย่างไรก็ตามแม้จะมีความสามารถการต่อสู้สูงมันก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าสู่สำนักเจ็ดแก่นแท้!


หลินหมิงก็ตระหนักดีถึงนี้ดี พร้อมกับเพื่อนในวัยเด็กของเขาหญิงงามหลานยุยเยี่ย ที่ยังมีพรสวรรค์ระดับสาม พวกเขาได้ตกลงที่จะรับการประเมินเข้าสำหรับสำนักลิขิตฟ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ใกล้กับสำนักเหล่านั้น


สำนักลิขิตฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรลิขิตฟ้า ตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้งนั้นเป็นระยะเวลาแปดสิบปี ทั้งวรยุทธ์พื้นฐาน และมรดกวรยุทธ์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับนักต่อสู้ หากไม่แล้วการที่จะบรรลุขั้นสุดท้ายของการฝึกฝนกายภาพขั้นผสานชีพจร(ขั้นที่6)และไปให้สูงกว่านั้นก็แทบเป็นไปไม่ได้


การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ทั้งนี่ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งแรกสำหรับวิธีการต่อสู้ก็คือเมื่อฝึกขั้นผสานชีพจรจนบรรลุประสบความสำเร็จอายุของนักต่อสู้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้พวกเขายังจะได้รับชื่อเสียงช่วยให้พวกเขามีชีวิตแห่งความเจริญรุ่งเรืองนำการสรรเสริญมาสู่วงศ์ตระกูลของพวกเขา


มันเพราะเรื่องนี้ การฝึกฝนจนถึงขั้นผสานชีพจรได้นั้น ทำให้สำนักลิขิตฟ้าอ่อนแอกว่าสำนักเจ็ดแก่นแท้


หัวใจของหลินหมิงมุ่งมั่นถึงวิถีแห่งการต่อสู้โดยธรรมชาติ เพียงแต่ว่าถ้าเขาต้องการที่จะเข้าสู่สำนักเจ็ดแก่นแท้ความสามารถของเขาไม่เพียงพอ แล้วเขามีโอกาสเพียงพึ่งพาความขยันของตัวเองและความเพียรที่จะสร้างความประทับใจให้ผู้ตรวจสอบ แต่โอกาสของเขาอยู่ในระดับต่ำมาก นอกจากนี้เมื่อเขาล้มเหลว เขาจะต้องเสียเวลาครึ่งปีถึงจะมีโอกาสอีก สำหรับนักต่อสู้ระยะเวลานี้มีค่าเป็นอย่างมาก


เมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดนี้และสัญญาที่ให้ไว้กับหลานยุยเยี่ย หลินหมิงตัดสินใจที่จะเข้าสำนักลิขิตฟ้าแทน


หลินหมิงและหลานยุนเยี่ย ได้รับการฝึกฝนและเล่นด้วยกันมานานหลายปี แม้ว่าทั้งสองยังหนุ่มสาวและไม่เคยคิดเรื่องของการแต่งงาน แต่ในทางกลับกันพ่อแม่หลินหมิงได้แสดงความเห็นชอบและความรักต่อ หลานยุยเยี่ย พวกเขามักจะเชิญหลานยุยเยี่ยไปที่บ้านของพวกเขาเพื่อทานอาหารอยู่บ่อยๆ


ความรู้สึกร่วมกันของหลินหมิงและหลานยุยเยี่ย เหลือเพียงแผ่นบางๆระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เมื่อพวกเขาโตขึ้นอีกเล็กน้อยแผ่นบางๆย่อมสลายไป


หลินหมิงคิดเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองอย่างจริงจัง เขาได้มุ่งมั่นที่จะเก็บออมเพื่อเป็นค่าฝึกชีพจรแม้ว่าเขาจะสามารถฝึกอบรมภายในสำนักลิขิตฟ้าได้ แต่ยังอาจจะยังไม่เพียงพอ!


อย่างไรก็ตามในวันที่สำนักลิขิตฟ้าจัดการประเมินรับคนเข้า หลานยุนเยี่ย กลับไม่เข้ารับการทดสอบด้วยเหตุผลบางอย่าง


หลินหมิงได้สันนิษฐานว่าหลานยุยเยี่ยอาจจำเป็นในบางเรื่อง แต่ในภายหลังว่าเขารู้จากหลานยุนเยี่ย ว่าเธอจะได้เข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ นอกจากนี้ยังได้ผู้ที่สนับสนุนในความสามารถของเธอให้เข้าเป็นศิษย์ของสำนักเจ็ดแก่นแท้ เขาคืออัจฉริยะหนุ่มจู้ยันหมายเลขหนึ่งแห่งเมืองใบหม่อนสีเขียว


แม้ว่าหลินหมิงอายุเพียงสิบห้าปีแต่เขาได้มาพร้อมกับพ่อแม่ของเขาที่ทำสงครามอยู่ด้านนอกมาก่อน ดังนั้นเขาจึงมีระดับสูงเมื่อเทียบกับคนอื่น เขาเข้าใจจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำจู้ยัน ที่ขอให้สำนักเจ็ดแก่นแท้รับหลานยุยเยี่ยเข้าไป


สำหรับตระกูลที่สูงส่งเช่นตระกูลจู้, พวกเขามีความจำเป็นในการเลือกภรรยาในอนาคต ภรรยามีความสามารถสูงจะมีโอกาสสูงในการให้กำเนิดผู้เป็นอัจฉริยะการต่อสู้ แม้ว่าครอบครัวของหลานยุนเยี่ยจะอยู่เพียงในระดับปานกลาง ไม่สูงมากนักแต่นอกจากนี้หลานยุยเยี่ยเป็นสาวงามที่โดดเด่นเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติที่จู้ยันจะหลงรักเธอ


สำหรับหลานยุนเยี่ย ความแตกต่างระหว่างสำนักลิขิตฟ้าและสำนักเจ็ดแก่นแท้มันมากเกินไป เมื่อมีโอกาสสร้างเกียรติสง่าราศีและความสำเร็จอย่างหาที่เปรียบมิได้ นี่คือความจริงเกี่ยวกับการเจริญก้าวหน้าของชีวิตที่อาจจะได้รับหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการฝึกชีพจร เป็นดังเช่นสิ่งล่อใจที่ยากที่จะต่อต้านได้สำหรับสาว ๆ


เมื่อต้องเผชิญกับโอกาสที่น่าสนใจเช่นนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะได้เลือกที่จะไปกับจู้ยันอย่างแน่นอน ในขณะที่จู้ยันเองทั้งหล่อ ภูมิหลังของครอบครัวที่ดีและอนาคตของเขาที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหลินหมิง


แม้ว่าเขาจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหลินหมิงก็คงจะเป็นเรื่องโกหก เขาขังตัวเองอยู่ภายในห้องของเขาเป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้นเขาเดินออกมาและเดินไปทั้งกินทั้งนอนหลับและฝึกฝน นอกจากนี้เขายังเพิ่มการฝึกให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน


ก่อนที่หลานยุยเยี่ยจะจากเขาไป หลินหมิงได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปฝึกชีพจรและก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นของการฝึกฝนการต่อสู้ ปัจจุบันหลินหมิงก็ยังคงฝึกฝน หากเขามีข้อสงสัยใดๆ แล้วการจากไปของหลานยุยเยี่ยจะเป็นตัวกระตุ้นในการแก้ปัญหาของเขา


เขาได้ตัดสินใจที่จะเข้าสู่การประเมินเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ไม่ว่าวิธีการจะยากเพียงใดก็ตาม


"เพ้ง" "เป็ง!" เสียงหนักของหมัดที่กระแทกเข้ากับกับลำต้นของต้นไม้สะท้อนอย่างต่อเนื่องตลอดป่า ชื่อของต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้เหล็กไม่เพียงแต่จะมีชั้นที่แข็งดังเหล็กของเปลือกไม้ยังมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูตัวเองที่ดี นักสู้จำนวนมากใช้วิธีนี้และเลือกต้นไม้เหล็กในการฝึกฝนตัวเอง


หลังจากนั้นการออกหมัดของหลินหมิงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็หมดแรง ยืนพิงอยู่กับลำต้นของต้นไม้ เขานั่งลงบนหินและใช้พืชสมุนไพรที่มาจากกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้นดิน เขาป้ายลงบนผิวของหมัดของเขาและนวด สำหรับผู้ที่จะเลือกเดินเส้นทางการต่อสู้ การใช้งานสมุนไพรในการรักษาร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็น หากไม่ได้ทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดการบาดเจ็บภายใน เมื่อได้รับบาดเจ็บภายในเหล่านี้อาจสะสมและมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นคนพิการหรือเสียชีวิต


สมุนไพรนี้จะเรียกว่าหญ้ากระทู้เหล็ก มันได้รับชื่อนี้เพราะน้ำสีเขียวที่ผลิตจากเหล็กบีบกระทู้หญ้าจะช่วยรักษาแผล แต่จะทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดคล้ายกับมีหัวข้อเหล็กแปรงบนบาดแผล


หลินหมิงขบฟันของเขาในขณะที่เขาต้องทนความเจ็บปวด เขาดึงผ้าขาวจากภายในกระเป๋าเป้และพันไปรอบ ๆ หมัดของเขา


ความจริงมีสมุนไพรอื่น ๆ อีกมากมายที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อเทียบกับหญ้ากระทู้เหล็ก สมุนไพรเหล่านี้ยังมีผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่า แต่ด้วยราคาที่สูงขึ้นมาก ด้วยฐานะนี้ของหลินหมิงทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจ่ายค่าสมุนไพรดังกล่าว


พ่อแม่หลินหมิงทำงานร้านอาหารที่อยู่ในเมืองใบหม่อนสีเขียว แต่ร้านนี้ไม่ใช่ของพวกเขา มันเป็นของตระกูลหลินแห่งเมืองใบหม่อนสีเขียว


แม้ว่าแม่ของหลินหมิงยังเป็นคนตระกูลหลิน แต่สายครอบครัวของเขาได้รับการแยกออกมาจากตระกูลหลินมาหลายชั่วคน ตระกูลหลินให้สินทรัพย์เล็กน้อยของพวกเขาไปอยู่ในมือของญาติที่ห่างไกลให้พวกเขาบริหารจัดการ ครอบครับของหลินหมิงขึ้นอยู่กับผู้บริหารของร้านนี้ ทุกปีที่พวกเขาจะได้รับรายได้บางส่วน เงินจำนวนนี้เป็นเพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะดำรงชีวิตอยู่ แต่มันไม่พอที่จะใช้เพื่อการฝึกฝนของหลินหมิง


พ่อแม่หลินหมิงเคยอยากให้หลินหมิงทำธุรกิจของครอบครัวและกลายเป็นเหรัญญิกของร้านอาหาร แต่เห็นความกระตือรือร้นของหลินหมิงที่มีต่อการต่อสู้พวกเขาเลือกที่จะจ่ายเงินที่เก็บสะสมมาของพวกเขาทั้งหมดเพื่อให้หลินหมิงไปซื้อสมุนไพรรักษา


ตั้งแต่นั้นมาหลินหมิงก็ใช้เงินของครอบครัวมาตลอด แต่หลินหมิงก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนแรกของการฝึกฝนกายภาพ


การฝึกฝนกายภาพเป็นระดับแรกสำหรับนักต่อสู้ มันเกี่ยวข้องกับการแบ่งเบาภาระทางร่างกายของพวกเขาและถูกแบ่งออกเป็นหกขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือการความแข็งแก่รง ขั้นสองคือกล้ามเนื้อ ขั้นสามคืออวัยวะภายใน ขั้นสี่คือการปรับเปลี่ยนกล้ามเนื้อ ขั้นห้าคือดัดกระดูกและขั้นหกคือการผสานชีพจร หลังจากนั้นจะสามารถที่จะก้าวเข้าสู่ระดับผลาญฟ้าได้


หลังจากใช้น้ำหญ้ากระทู้เหล็กลงบนบาดแผลของเขาหลินหมิงทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงยาม (1 ชั่วโมง) เพื่อให้บาดแผลของเขาได้ดูดซับสรรพคุณทางยาของสมุนไพร จากนั้นเขาก็บิดตัวและฝึกหมัดของเขาต่อ เมื่อเจ้าอ้วนเดินผ่านเข้าไปเห็น เจ้าอ้วนถือดาบยาวกับไว้กับตัว เมื่อเห็นหลินหมิงเขายิ้มและพูด "พี่ชายวันนี้เป็นวันลงทะเบียนการประเมินผลเข้าสู่สำนักเจ็ดแก่นแท้ พี่อาจลืมไปแล้ว ทำไมถึงยังฝึกหมัดอยู่ที่นี่อีก? "


ชื่อของเจ้าอ้วนคือหลินเซี่ยวตง เขาอายุน้อยกว่าหลินหมิงเล็กน้อย พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ทั้งคู่มีความผูกพันที่แน่นแฟ้นมาก


หลินเซี่ยวตง เป็นทายาทโดยแท้ของตระกูลหลิน อย่างไรก็ตามสำหรับทายาทโดยแท้มีรูปแบบของการจัดอันดับอยู่ เมื่อมันเกิดขึ้นหลินเซี่ยวตง เป็นส่วนคนที่อันดับต่ำสุด พ่อแม่หลินเซี่ยงตงเองก็มีส่วนร่วมในธุรกิจและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่หลินหมิง


หลังจากที่ได้เห็นหลินเซี่ยวตง หลินหมิงหันความสนใจไปที่ต้นไม้และกล่าวว่า "ช่วงเริ่มต้นของการลงทะเบียนจะมีคนจำนวนมากเกินไป การรอคิวจะใช้เวลานาน ไปที่นั่นตอนนี้ก็จะเสียเวลา "


"ให้ตายเถอะ เวลาเพียงเล็กน้อยจะฝึกให้ได้อันใด เราต้องเดินทางไปอีกไกล? "หลินเซี่ยวตง พูดออกมาและเดินขึ้นไปยังลำต้นของต้นไม้ สังเกตรอยบุ๋มที่เกิดจากหมัดและร่องรอยของเลือด เข​​าหันไปดูกำปั้นที่พันด้วยผ้าพันแผล จากนั้นเขาก็ให้ออกถอนหายใจออกมาด้วยความความผิดหวัง "จะบ้าหรอ เพื่อที่จะเกิดทำความเสียหายต่อไม้เหล็กเท่านี้ วิธีที่ฝึกปัจจุบันของพี่ ด้วยหญ้าเหล็กกระทู้เพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอหรอก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพี่อาจจะกลายเป็นคนพิการ "


หลินหมิงไม่ได้พูดอะไร วิถีการต่อสู้คือการต่อสู้อย่างต่อเนื่องต่อโชคชะตา พิจารณาจากทักษะขั้นต้นระดับสาม การบรรลุขั้นตอนที่หกของการควบแน่นชีพจรเป็นไปได้ยาก ถ้าเขาไม่ได้ทุ่มเทร่างกายทั้งหมด ในขณะที่เขายังหนุ่มแล้วเขาจะมีความหวังในการบรรลุเป้าหมายของเขาได้อย่างไร เมื่อเขาทุ่มเทนี้มีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะพิการจากการสะสมของการบาดเจ็บภายใน แต่ก็ยังมีความเป็นไปที่จะบรรลุความสำเร็จก่อนเขาจะพิการ และเมื่อเขาประสบความสำเร็จและสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการควบแน่นชีพจรเขาสามารถแบ่งเบาภาระทางร่างกายและการบาดเจ็บภายในก็จะหายไป