วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 16 – แหลกเหลว



แปล : Artza
แก้ไขและเรียบเรียง : : Artza


...


...


...


ห้องโถงประมูลมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าที่นำมาขายประมูล มิฉะนั้นอามีของปลอมของเลียนและอาจหลุดรอดเข้ามาทำให้ชื่อเสียงของห้องโถงประมูลเสียหายได้ สำหรับผู้จัดประมูลชื่อเสียงของงานประมูลนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก

มีชายวัยกลางคนมาออกมาต้อนรับแล้วขวางทางเข้าไว้ และถามขึ้นมา "นายท่าน มีสิ่งใดให้ช่วยหรือไม่?"

หลินหมิงสวมเสื้อคลุมที่สะอาดเรียบร้อย ดูเหมือนพลเมืองดีมีฐานะ แต่ความสูงของเขาก็น้อยกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปหลายนิ้ว นอกจากนี้เสียงของเขายังไม่ดูเหมือนผู้ใหญ่พอ มันยากที่จะจะปกปิดความจริงที่ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มเพียง 15 หรือ16 ปี เพื่อให้ไม่มีพิรุธและทำการประมูลได้อย่างเรียบง่าย

ดังนั้นหลินหมิงจึงกล่าวด้วยเสียงของเขาเอง "ข้ามาที่นี่เพื่อประมูลขายแผ่นจารึก"

“โอ้? "ชายวัยกลางคนมองมาที่หลินหมิงเหมือนว่าเขามีพิรุธ "ให้ข้าตรวจสอบแผ่นจารึกก่อน?" ความจริงแล้วมารยาทของผู้ชายคนนี้ถือว่าแล้วสุภาพมากต่อเด็ก 15-16 ปีอย่างเขาที่เข้ามาในการประมูล มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่จะมีเด็กอายุเพียงเท่านี้มาประมูลขายจารึก ราคาของพวกมันสูงกว่า1000เหรียญทอง คนส่วนใหญ่จะต้องคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกเป็นแน่

หลังจากที่หลินหมิงดึงแผ่นจารึกออกมา ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว เขาสังเกตเห็นคุณภาพที่ต่ำของมัน นี่เป็นแผ่นจารึกระดับพื้นฐานที่สุดและราคาถูกมากที่สุดที่มีอยู่ในตลาด เพียง1-2เหรียญทองต่อโหล แม้ว่าต้นทุนค่าแผ่นจารึกจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของจารึก แต่มันก็ยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงของสถานะของผู้จารึก เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้จารึกเกือบทั้งหมดจะไม่วางจารึกในแผ่นจารึกถูกๆแบบนี้เพื่อนำมาประมูล พวกเขามักจะใช้แผ่นจารึกคุณภาพสูงที่ราคาหลายเหรียญต่อแผ่นที่ดูหรูหราเพื่ออวดผลงานของพวกเขา

อย่างไรก็ตามมันมีพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากแผ่นจารึก และชายวัยกลางคนสามารถที่จะตรวจสอบได้ว่านี่เป็นสินค้าที่สมบูรณ์และไม่ใช่เรื่องตลก เขามองไปที่หลินหมิงและถามว่า "ท่านมีใบรับรองที่นักสร้างจารึกหรือไม่?"

หลินหมิงส่ายหัว

เยี่ยม ตามข้ามา "

ในขณะที่ชายวัยกลางคนนำหลินหมิงผ่านห้องโถงไปที่ห้องประเมินราคาด้านหลังที่อยู่ด้านหลังโถงประมูล คนที่อยู่ในห้องประเมินราคาสวมเสื้อผ้าสีดำมีริ้วรอยและดูเหมือนจะเป็นคุณปู่ที่วัย 50 หรือ 60ปี หลินหมิงสังเกตป้ายด้านหน้าของปู่คนนั้น มันว่าเขียน "นักประเมินชั้นสูง"

ในขณะที่คนเสื้อคลุมสีดำถือแผ่นจารึกของหลินหมิงไว้ในมือและสังเกตถึงแผ่นจารึกระดับต่ำ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกใดๆที่แสดงถึงความรังเกียจหรือดูถูก เขายังคงมีท่าทางที่เงียบสงบและสุขุม เขาถือมันไว้บนถุงมือสีขาวและให้ความสนใจต่อการประเมินอย่างจริงจังและการปฏิบัติของในทำงานนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมืออาชีพที่แท้จริง!

เขาค่อยๆเริ่มประเมินราคาอย่างช้าๆ เขายกศีรษะขึ้นใบหน้าก็ดูเข้มขึ้นมา และมองไปที่หลินหมิง "ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด ผู้ที่สร้างจารึกนี้ คงจะมีการฝึกฝนกายภายไม่เกินระดับที่สาม?"

ในจารึกมักจะพบคำใบ้เล็กน้อยจากแรงดันจิตวิญญาณของผู้สร้าง มันเป็นไปได้ที่ผู้ประเมินราคาที่จะตัดสินว่าผู้สร้างมีการฝึกฝนสูงเพียงใดผ่านร่องรอยเหล่านี้ เขาได้ฝึกฝน 'ปฐมโกลาหล' จึงมีพลังสูงกว่านักสู้โดยเฉลี่ย หากนักประเมินราคารู้ว่าจารึกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเด็กที่มรการฝึกฝนกายภาพขั้นแรก เขาคงอึ้งจนหัวหาดพื้นเป็นแน่

หลินหมิงรู้ว่าเขาไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้ได้ เขาจึงพยักหน้าตอบรับ

ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้าและถอนหายใจอย่างแรง "มีผู้มีความสามารถระดับนี้ในรุ่นหนุ่มสาวด้วยรึ เพียงการฝึกฝนระดับสาม สามารถวาดจารึกชิ้นนี้ขึ้นมาได้ น่าตกใจจริงๆ! "

โดยปกติแล้วนักจารึกมักจะเป็นคนเก่าคนแก่มีอายุค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่จะมีการฝึกฝนกายภาพอยู่ขั้นห้า น้อยยิ่งนักที่จะมีนักจารึกสักคนที่เข้าสู่ขั้นผสานชีพจร(ขั้น6)และเข้าสู่ระดับปราณฟ้าได้

บางทีเด็กระดับสามนี่อาจเป็นเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานของนักจารึกแล้วบังเอิญโชคดีสร้างมันขึ้นมาได้ แต่เด็กคนนี้นำมันมาถึงสี่แผ่น เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างแท้จริง

จากที่หลินหมิงได้ยินชายชราสรรเสริญกล่าวชมและคิดว่าคงจะเป็นเรื่องดี แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อชายชรากล่าวคำพูดต่อไปขึ้นมา"มันเป็นจารึกที่สมบูรณ์ก็จริง แต่ผู้สร้างเป็นเพียงเด็กฝึกงานเท่านั้น เราจึงไม่สามารถที่จะระบุประสิทธิภาพได้แน่ชัด เรารู้ว่าแรงดันจิตวิญญาณของเด็กฝึกงานมีจำกัด โดยทั่วไปเป็นเรื่องยากมากที่จะวางอาคมมากมายและมีความซับซ้อนเช่นนี้ แม้ว่าจารึกจะมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นร้อยละสิบ ถ้ามันไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์ชั้นสูงได้แล้วเรานำมันเข้าประมูล จะเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของที่ประมูล "

จารึกถูกนำมาใช้เฉพาะกับอุปกรณ์ระดับสูงเพราะเพียงอุปกรณ์ระดับสูงมีความทนทานและแข็งแรงพอ มันมีระดับพลังงานของในต่อสู้ นักจารึกจึงต้องมีการฝึกฝนอย่างน้อยในระดับนั้น

(เผื่อใครจะงงนะ คือนักจารึกจะฝึกฝนกายภาพไว้ช่วงขั้น5-6เพื่อให้จารึกที่วาดออกมาใช้กับอุปกรณ์ระดับสูงได้ ส่วนใหญ่เลยเป็นพวกแก่เพราะต้องฝึกฝนกายภาพ+ฝึกจารึก ส่วนนักสู้แก่ๆแล้วก็ไประดับปราณฟ้าเลย)

เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้สินค้าที่มีคุณภาพต่ำที่สุดมีมูลค่าอย่างน้อยหลักพันเหรียญทอง!

อุปกรณ์ชั้นสูงมิใช่สิ่งของสำหรับนักสู้ธรรมดา อย่างน้อยต้องเป็นนักสู้จากตระกูลชั้นสูงที่มีการฝึกฝนอย่างน้อยในขั้น4หรือขั้น5ที่จะได้รับการพิจารณาให้มีอาวุธคุณภาพสูงไว้ครอบครอง

ยกตัวอย่างเช่นหวังยี่เกา ถึงเขาจะมาจากตระกูลที่ดี แต่เป็นเพราะการฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับต่ำ แม้เขาจะได้ดาบสีฟ้ามา แต่มันก็ไม่ใช้อุปกรณ์ระดับสูง ดาบสีฟ้ามีมูลค่าเพียง200เหรียญทอง

จำนวนครั้งที่สามารถวางจารึกบนอาวุธมีจำกัด มันทำได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่สามารถวางจารึกอื่นได้อีก การจะใช้จ่ายเป็นพันเหรียญทองเพื่อวางจารึกบนอาวุธ มันต้องมีความปลอดภัยไร้ความผิดพลาด!

ดังนั้นจึงมีการดำรงอยู่ตลาดการจารึก

หลินหมิงคาดการณ์ไว้บางแล้วและกล่าวว่า "ข้าต้องการใช้ประมูลเพียงสามแผ่น อีกหนึ่งนั้นสำหรับการทดลองของท่าน "

หลังจากที่สร้างจารึกขึ้นมา มันเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะทดสอบผลที่ตามมา มีเพียงผู้สร้างเท่านั้นที่พอจะคาดเดาความสามารและประสิทธิภาพได้

เมื่อนักสู้ซื้อแผ่นจารึกไป เหมือนกับเขาได้เดิมพันกับโชคชะตาให้ผู้สร้างแผ่นจารึกเหล่านั้นเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญที่มีความสามารถสูงเพียงพอกับอุปกรณ์ของเขา มีไม่กี่คนที่จะซื้อจารึกจากผู้สร้างที่ไร้ชื่อเสียงหรือยังฝึกหัดอยู่ มันเป็นเพียงแค่การพนันด้วยเงินที่มีค่าของพวกเขาเอง!

ผู้ประเมินกล่าวว่า "ได้แน่นอน แต่ทว่าการทดลองนี้จะต้องทำกับอุปกรณ์ของเจ้าเอง "

หลินหมิงชะงักเงียบๆ อุปกรณ์ระดับสูงนั้นมีมูลค่าหลายพันเหรียญทอง? มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีอุปกรณ์สำหรับการทดสอบตามคำขอจากโถงประมูล

หากหลินหมิงเป็นนักจารึกที่มีชื่อเสียงแล้วเรื่องเหล่านี้จะต่างอกไปเพราะนักจารึกที่มีชื่อเสียงจะไม่จำเป็นต้องมีการทดสอบ ซ้ำยังอยากให้ทดสอบกับอาวุธของพวกเขาเองอีก

สำหรับหลินหมิง ทั้งชีวิตเขาเคยมีเงินมาที่สุดเพียง 800 เหรียญทอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะหาอาวุธที่มีมูลค่าหลายพันเหรียญทองมาวางจารึก?

เขาไม่ได้โต้เถียงหรือพูดอะไรอีก เขาอาจบอกได้ว่าอุปกรณ์ที่วางจารึกของเขาจะไร้ซึ่งความเสียหาย แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อคำพูดของเขา เพราะแรงดันจิตวิญญาณในจารึกมันก็อ่อนแอเกินไป

ดังนั้นหลินหมิงหยิบเอาแผ่นจารึกทั้งสี่กลับมาและเดินออกจากโถงประมูลไป

...

...

...

"ขอโทษนะ แต่ทางเราจำเป็นต้องพิสูจน์ว่าสมาคมจารึกได้ลงนามให้เจ้าได้เป็นนักจารึกหรือยัง... "

ที่งานการค้าเที่ยงธรรม ผู้ประกอบการค้าได้ปฏิเสธหลินหมิงหลังจากที่ได้เห็นอายุของเขา

แต่มันก็เป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพ หลังจากที่หลินหมิงไปถามขายยังร้านค้าหลายแห่งและทัศนคติของคนเหล่านี้ล้วนเลวร้ายทั้งสิ้น

เขาพยายามที่จะขายแผ่นจารึกที่ให้อีกที่หนึ่งคือสมาคมการค้าจารึก ตัวอาคารดูมั่งคั่งและหรูหรามีหกชั้นเต็มไปแต่ละชั้นสร้างด้วยสิ่งก่อสร้างชั้นสูงอย่างปราณีต ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ไร้ซื้อของราคาถูก สินค้ามีมูลค่าตั้งแต่ไม่กี่ร้อยถึงหลายพันเหรียญทอง แม้เจ้าของร้านจะมีความหยิ่งยโส แต่ถ้าหนุ่มสาวร่ำรวมเข้ามาแล้ว เขาก็จะสุภาพและประจบประแจงเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนซื้อขายที่ดูยากจนทำได้เพียงไปติดต่อทางด้านหลัง

บางคนยังรำคาญที่จะพูดอะไร เพียงแค่โบกมือไล่เขาออกไปอย่างหงุดหงิด

“เห้ เด็กน้อย อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่ มันขว้างการค้าของข้า"

"ที่นี่ไม่ได้เป็นสถานที่ที่เด็กน้อยควรมา ... .โอ้ว ท่านลูกค้ามีสิ่งใดให้ช่วยหรือไม่คะ! ต้องการ ... "

"ฮ่า ๆ เด็กเอ้ย อย่าพยายามเล่นตลกกับข้า นี่มันแผ่นกระดาษชำระ! แล้วแกคิดว่าวาดเปลวไฟเล็กๆ บนกระดาษชำระนี้ มันจะกลายเป็นจารึก? ฮ่า ๆ ... "