วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 17 หลายยุยเยีย


ในช่วงตลอดทั้งวันมานี้หลินหมิงไปยังสถานที่จัดประมูลอีกสองแห่งและอีกห้าตลาดซื้อขายสมบัติซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นโดยตระกูลชั้นสูง แต่เขายังไม่ได้พบผู้ที่จะซื้อสินค้าของเขา

ในขณะที่เขากำลังจะกลับไปที่ศาลาจันทร์กระจ่างหลินหมิงถอนหายใจ เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าการขายจารึก3-4แผ่นจะเป็นเรื่องที่ยากถึงเพียงนี้

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเพียงความล้มเหลวเล็กๆน้อยๆ คำพูดเหน็บแนมและเหยียดหยามต่างๆไม่มีผลต่อหลินหมิง ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ผ่านมาของเขานั้นเกินกว่าความเจ็บปวดจากคำพูดเหล่านี้มากนัก ที่เขาจะมีประสบการณ์จากหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าจู้ยันจะด่าเขาเกี่ยวกับหลานยุยเยีย เพราะตระกูลของเขาก็ยากจนและมีการฝึกฝนที่ต่ำกว่า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลต่อจิตใจของหลินหมิง

เขาวางแผ่นจารึกลงและเริ่มฝึกฝน 'ปฐมโกลาหล’ เขาได้ฝึกฝนการจารึกทุกวันในเดือนนี้ แต่เขาก็ยังต้องการที่จะฝึก' ปฐมโกลาหล’ อีก ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักของเขา 'ปฐมโกลาหล' ได้บรรลุทั้งหมดแล้วในระดับแรก การฝึกฝนการต่อสู้ของเขาเป็นที่จุดสูงสุดของขั้นแรกในการฝึกฝนกายภาพ

ด้วยพลังขนาด9ก้อนหินของกำปั้นที่สามารถทลายต้นไม้เหล็กนี่คือหลักฐานที่เขาอยู่บนจุดสูงสุดของการฝึกฝนกายภาพขั้นแรก!

9ก้อนหินเท่ากับ 900 จิ๋น นี่คือจุดสูงสุดของร่างกายในขั้นแรก แต่ความเป็นจริงพละกำลังปัจจุบันของหลินหมิงนั้นมากกว่าก็1000 จิ๋นเสียอีก นี่เป็นผลมาจากวรยุทธ 'จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล’ มีที่เขาฝึกฝนมา แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน แต่หลินหมิงก็ยังคงติดอยู่ในขั้นแรกของการฝึกฝนกายภาพ

หลินหมิงโคจรพลังของเขากับ 'ปฐมโกลาหล' เขาเริ่มที่จะมุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจของกระดูก จินตนาการถึงช่วงเวลาที่เขาจะแร่เนื้อของตัวเอง แม้จะเป็นสัตว์ดุร้ายระดับสองก็ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองเขาได้ น่าเสียดายที่แม้ศาลาจันทร์กระจ่างก็ยังหาสัตว์ดุร้ายระดับสามได้ยาก หลินหมิงอยากจะฝึกกับสัตว์ดุร้ายหายากเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้! ดังนั้นเขาจึงคิดหาทางอื่นโดยฝึกใช้อีกด้านของมีดที่ไม่คมในการแร่เนื้อ!

โดยปกติคนที่จะแร่เนื้อ มักจะใช้มีดที่คมที่สุดเท่าที่จะหามาได้ หรือแม้กระทั่งขวานหรืออุปกรณ์อื่นๆ การแร่เนื้อมักจะใช้เวลาหนึ่งวันเต็มสำหรับสัตว์ดุร้ายระดับสอง แต่หลินหมิงกลับใช้ด้านที่ไม่มีคมของมีดแร่เนื้อ มันเป็นเรื่องไร้เหตุผลและแทบจะเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่ามีดที่ใช้แร่เนื้อนั้นสัมผัสอยู่บนหินแข็งและทุกคืบที่ผ่าเข้าไปนั้นต้องใช้พละกำลังและความพยายามอย่างมาก

การฝึกฝนนี้ เหมือนเป็นการบังคับให้หลินหมิงทะลวงขีดจำกัดของเขาอยู่ตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้มันต้องใช้เวลานานเป็นอย่างมากที่จะแร่เนื้อสัตว์ดุร้ายระดับสองให้สมบูรณ์ แต่ในตอนนี้เพียงสองชั่วโมงก็เป็นเวลาที่มากเพียงพอแล้ว แม้ว่าหลังจากนั้นร่างกายของเขาจะเปียกปอนไปด้วยเหงื่อ

โชคดีที่ผลลัพธ์ของมันออกมาดี เขาบรรจงตัดแผ่นเนื้อสัตว์ได้ออกมาเหมือนกับที่ใช้มีดด้านที่มีคม หากศาลาจันทร์กระจ่างรู้ว่าหลินหมิงแร่เนื้อสัตว์ดุร้ายระดับสองเหล่านี้ด้วยด้านหลังของมีด พวกเขาคงจะรีบส่งหลินหมิงเข้าไปตรวจสมองในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด!

หลังจากเสร็จงานก็เป็นเวลากลางคืน หลินหมิงอ่อนเพลียและอยากพักผ่อน เขาลืมเรื่องการจารึกไปและล้มตัวนอนหลับไป

...

..



หลังจากที่หลับลึกไปในค่ำคืนนั้น หลินหมิงตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสางและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ลับของเขาเทือกเขาโจวเพื่อฝึกศิลปะการต่อสู้ของเขา หลังจากที่เขาจะเริ่มออกเดินทาง ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นสู่ท้องฟ้า ในเวลานี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งโผล่ออกมาจากที่โล่งในป่า เขาเป็นคนที่สูง ดูมีสุขภาพดีในชุดสีขาว "พี่หลิน ที่ได้ถามข้าเมื่อวานนี้ ถึงสถานที่ซึ่งจะขายแผ่นจารึก? พี่สร้างมันสำเร็จแล้วจริงๆรึ ? "

เด็กคนนั้นก็คือหลินเซี่ยวตง เมื่อวานนี้ในเวลานี้หลินหมิงเคยถามเขาและเขาตอบออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่หลังจากที่คิดเกี่ยวกับมันมากขึ้นและเขาก็ตระหนักว่าเป็นไปได้ว่าหลินหมิงจะสามารถสร้างจารึกขึ้นมาได้จริงๆ

แม้ว่าหลินเซี่ยวตงจะไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการจารึก แต่เขาคาดการณ์ว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับหลินหมิงที่จะสร้างจารึกขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ มันคงจะเป็นเพียงบางส่วนหรือเพียงครึ่งเดียว ถ้าเขานำสิ่งของเช่นนี้ไปที่การค้าเที่ยงธรรม พ่อค้าที่นั่นจะกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นนักต้มตุ๋นเป็นแน่ !

หลินหมิงยิ้มและพยักหน้า "ข้าทำมันเสร็จไปบ้างแล้ว"

หลินเซี่ยวตงย้ำอีกครั้ง "แล้วเอาพวกมันไปขายรึ?"

"อืม แต่ข้ายังไม่ได้ขายออกไป "

มันเป็นไปตามคาดว่าเขาคงขายไม่ออก ร้านค้าเหล่านั้นคงไม่ได้โง่ หลินเซี่ยวตงคิดด้วยความกังวล สายตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลในขณะที่เขาถาม "พี่ที่คงไม่ถูกใครซ้อมมาใช่ไหม?"

หลินหมิงตะลึงเงียบ น้องชายคนเล็กของเขามีจินตนาการอย่างแท้จริง เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกและปรบมือท้องแข็ง "ข้าทำมันสำเร็จจริงๆ และข้าก็ไม่ได้คดโกงผู้ใด เหตุใดข้าต้องถูกซ้อมหละ?"

ในขณะที่เขากล่าว เขาก็เอาแผ่นจารึกที่เขาลำบากทำขึ้นมากว่าเดือน ส่งพวกมันให้หลินเซี่ยวตง เขาไม่อยากให้น้องชายเขาต้องมากังวลในเรื่องของเขา

อย่างไรก็ตามทันทีที่หลินเซี่ยวตงเห็นเหล่าแผ่นจารึกทั้งสี่ ใบหน้าของเขาแข็งทื่ออย่างกับเห็นผีในหนังสยองขวัญ...

เขาเดาว่าแผ่นจารึกของหลินหมิงอาจมีการใช้มาก่อนหรือข้อบกพร่อง! กระดาษหนาสีเหลือง มันก็เหมือนกับกระดาษชำระที่ถูกนำมาใช้หลายครั้งจนเกินไป มีเพียงคนโง่ที่จะซื้อมัน หลินเซี่ยวตงเคยเห็นแต่แผ่นจารึกโดยนักจารึกที่พวกมันมักจะดูสะอาดเรียบร้อย เหมือนกับว่าส่องแสงสีออกมา

หลินเซี่ยวตง ดูราวกับว่าเขาได้กินโจ๊กบูดมา เขายิ้มออกมาแห้งๆ พี่ชายของข้า โอ้พี่ชายแสนหวานของข้า! เขาอาจคิดว่าหลายร้อยเหรียญทองค่าวัสดุได้กลายมาเป็นกระดาษชำระใช้ไปเสียแล้ว หัวใจของหลินเซี่ยวตงเจ็บปวดขึ้นมาทันที นี้เป็นการใช้เงินที่ไร้ประโยชน์เสียจริง!

หลินหมิงสังเกตเห็นการแสดงออกของหลินเซี่ยวตง เขาสามารถคาดเดาได้ถึงสิ่งที่เซี่ยวตงคิดในขณะนี้ เขารับเอาแผ่นจารึกกลับมา ไม่มีวิธีการใดๆที่พอจะสามารถอธิบายให้หลินเซี่ยวตงเข้าใจได้

"พี่หลิน ข้าต้องบอกว่าด้วยพรสวรรค์และความพยายามของพี่ พี่จะทะลวงผ่านขั้นผสานชีพจรไปได้ไม่ช้าก็เร็ว ทำไมไม่เน้นเรื่องนี้? "หลินเซี่ยวตงตัดสินใจที่จะลองแนะนำด้วยความคิดที่ดีของเขา ติดอย่างเห็นได้ชัดไม่ได้ทำงาน

หลินหมิงยิ้มอยู่เงียบๆ หลินเซี่ยวตงก็ไม่ได้ผิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้รำคาญเรื่องการจารึก แต่มันก็ทำให้เขาเสียเวลาที่จะเข้าสู่ขั้น ผสานชีพจร

การฝึกฝนการต่อสู้คือสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน และเวลาย่อมไม่เคยรอมนุษย์คนใด ถ้าเขาไม่ได้เร่งการฝึกฝนของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่เขายังเป็นเด็ก มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากเมื่ออายุมากขึ้น

ถ้าเขาไม่ได้ใช้โอสถวิเศษหรือวัตถุอาคมก็มีเพียงการอาศัยความพยายามและความขยันของตัวเอง แม้ว่าเขาจะมีพื้นฐานที่มั่นคงก็ยังคงต้องใช้เวลาจำนวนมาก เวลาเป็นสิ่งที่หลินหมิงมีอยู่อย่างจำกัด!

ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะทำเงินโดยใช้การจารึกและใช้ทางลัดให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้

เขากล่าวว่า "เซี่ยวตง เจ้ามุ่งหน้ากลับไปก่อนเถอะ ข้ายังคงมีบางเรื่องที่ข้าจะต้องทำ"

"เรื่องใด? พี่หลินคงไม่ได้คิดที่จะไปขายแผ่นจารึกเหล่านั้นใช่ไหม? "

หลินหมิงหัวเราะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม "อย่ากังวลเกี่ยวกับมันให้มากเกินไป ข้ารู้ในเรื่องที่ข้าสมควรทำ" ในขณะที่เขากล่าวนี้หลินหมิงก้าวไปแล้วหลายสิบหลายเมตร

"F * CK!" หลินเซี่ยวตงเห็นหลินหมิงหายลับไปและจะพยายามจะสาป
แช่งในความดื้อรั้นของเขา เซี่ยวตงรู้ว่าหลินหมิงได้ตัดสินใจในเส้นทางของเขาและเขาไม่มีวันยอมแพ้ โอ้พี่ชายของข้าโปรดระวังด้วย!

แม้ว่าหลินหมิจะมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า แต่บางสิ่งบางอย่างมันอยู่เหนือความเป็นไปได้ เกินกว่าสวรรค์จะดลบันดาล ...







แม้ว่าจะมีร้านค้าจำนวนมากในเมืองลิขิตฟ้า ร้านที่มีการซื้อขายแผ่นจารึกก็มีไม่มาก รวมทั้งโถงประมูลและงานแสดงสินค้าต่างๆทั้งหมดมีน้อยกว่าสามสิบแห่ง

สถานที่เหล่านี้หลินหมิงล้วนเคยไปมาหมดแล้วและไม่มีที่ใดที่ตกลงซื้อขายแผ่นจารึกของเขา ทุกแห่งล้วนปฏิเสธเขา มันเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นเด็กฝึกงานมิใช่ผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งเด็กฝึกงานอาจจะโชคดีและสร้างจารึกที่สมบูรณ์ออกมาได้ แต่ก็ไม่มีใครอยากลองเสี่ยงกับอาวุธอันมีค่าของพวกเขาด้วยแผ่นจารึกที่ไม่แน่นอน!

หลินหมิงเป็นต้องผิดหวังจากความล้มเหลวนี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขา ในใจของเขา เขารู้ว่าเขาต้องใช้เวลามากขึ้นอีกและเขาจะต้องได้เห็นผลของการทุ่มเทของเขา

"เจ้าต้องการที่จะขายแผ่นจารึกนี้รึ ? เจ้ากำลังหลอกข้ารึเด็กน้อย? เจ้าหนุ่มมากและเจ้าต้องการที่จะทำบางสิ่งบางที่ไม่สุจริตรึ ไป ไปและอย่าให้ธุรกิจของข้าล่าช้า เจ้ากำลังบังหน้าร้านข้า "

เจ้าของร้านมหาสมบัติโบกมือไล่ให้เขาออกไปเหลืออด มารยาทของเจ้าของร้านมักจะเลวร้ายเป็นธรรมดากับผู้ที่ไม่ใช้ลูกค้า ในขณะที่เขาหันไปรอบๆ เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย มันเป็นใบหน้าที่สวยงามมาก แต่เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะเห็น

ไม่ไกลจากเขามีเด็กผู้หญิงสองคนสวมใส่ชุดสีเหลืองอ่อน หนึ่งในนั้นคือคนหนึ่งที่เคยผิดสัญญาต่อเขาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและติดตามจู้ยันไปสำนักเจ็ดแก่นแท้ หลานยุยเยีย

หลานยุยเยียที่เพิ่งมาถึง เธอมองลงไปที่แผ่นจารึกที่เลอะเทอะในมือของหลินหมิง และคิดเกี่ยวกับคำที่เจ้าของร้านพูด ผิวที่สดชื่นของเธอก็เปลี่ยนไป

หลานยุยเยี่ยไม่เคยเห็นแผ่นจารึกมาก่อน แต่แม้ว่าเธอจะมีเธอก็จะไม่พยายามขายวัตถุที่หลอกลวงอย่างที่หลินหมิงทำ เธอเดาว่าหลินหมิงกำลังพยายามหลอกขายของปลอมอยู่... สินค้าบางอย่างมีราคาไม่แพง พวกเขาจะพยายามที่จะซื้อสิ่งดังกล่าวและหลอกขายมันในราคาสูง

นอกจากนี้... ครอบครัวของหลินหมิงก็ไม่ได้ร่ำรวยและเขาได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้พร้อมกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เขาอาจขัดสนในเรื่องเงินทอง ดังนั้นเขาจึงพยายามทำสิ่งที่เขาสามารถทำได้...

เมื่อคิดเช่นนั้น หลานยุยเยี่ยถอนหายใจ เธอไม่ทราบว่าเธอควรจะพูดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้ เธอรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เธอบอกว่าอาจจะทำร้ายศักดิ์ศรีหลินหมิง แต่เธอก็ยังไม่สามารถแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้ดูถูกเขา

เมื่อเจ้าของร้านเห็นหลานยุยเยีย หน้าตาลังเกียจก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มต้อนรับในทันที จากที่ผ่านมาถึงตอนนี้มันเหมือนกับว่าเขาเป็นคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง "ท่านสาวงามกำลังมองหาซื้อสินค้าใด? เมื่อวานท่านได้ซื้อดาบไป มันใช้ง่ายหรือไม่ โอ้ใช่แล้วท่านอาจารย์หนุ่มที่มาพร้อมกับท่านเมื่อวานนี้ไปไหนแล้วหละ? ข้าไม่เห็นเขาเลย "

เห็นได้ชัดว่าอาจารย์หนุ่มที่เจ้าของร้านกล่าวถึงต้องเป็นจู้ยันเป็นแน่ เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้า หลินหมิงก็รู้ว่าวันที่ผ่านมาจู้ยันได้มาที่นี่กับหลานยุยเยีย เจ้าของร้านคงได้กำไรมหาศาล

หลานยุยเยีย ไม่ได้คิดว่าเจ้าของร้านจะพูดถึงจู้ยันในเวลานี้ทำให้สถานการณ์อึดอัดใจและตึงเครียดมากขึ้น เธออยากจะอธิบายว่าเธอไม่ได้ทำอะไรกับจู้ยัน แต่เธอไม่ได้เป็นสาวน้อยอีกต่อไปแล้ว และเธอต้องมีความชัดเจนกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วเธอจะแต่งงานเข้าไปในครอบครัวจู้และถึงแม้ว่าเธอไม่ได้ชอบจู้ยัน แต่เพื่อเป้าหมายของเธอ เธอก็ยอมทำผิดสัญญาที่เธอให้ไว้และได้เลือกเส้นทางของการทรยศ ...

หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อย ความอึดอัดตึงเครียดก็เริ่มมากขึ้น หลานยุยเยี่ยถามด้วยเสียงโทนต่ำ "เดี๋ยว ... ที่ผ่านมาเจ้าสบายดีหรือไม่"

"ก็ดี" หลินหมิงตอบอย่างใจเย็น มันเป็นสิ่งที่อยู่ในอดีตที่ผ่านมา เขาไม่ได้ต้องการที่จะกลับไปคิดเรื่องเหล่านี้

ก็ดี? ถ้าเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ แล้วเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่? เด็กสิบห้าปีที่ทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดของการฝึกฝน มีความกังวลเกี่ยวกับการทำมาหากินของตัวเองและพบกับการดูถูกจากคนอื่นๆ ... เป็นแบบก็ดีจริงๆรึ?

หลานยุยเยียรู้จักความดื้อรั้นของหลินหมิงดี แต่สภาพหน้าตาของเขาเช่นนี้เธอเท่านั้นที่จะช่วยผลักดันได้ "เจ้าไม่เคยคิดที่จะหันหลังกลับ ... ?"

"หันหลังกลับ? หันกลับไปที่ไหน? ฮ่าฮ่า เจ้ากำลังบอกให้ข้ายอมแพ้ในเส้นทางแห่งการต่อสู้รึ? "

"ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น ข้าเพียงต้องการบอกว่าการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากเจ้าไม่ได้มีเงินมากพอที่จะซื้อยาสมุนไพรรักษาแล้ว มันเป็นเรื่องง่ายดายที่เจ้าจะกลายเป็นคนพิการอย่างถาวร ... "หลานยุยเยี่ย ถอนหายใจและสายตาของเธอมองลงบนแผ่นจารึกมือหลินหมิง "เงินที่เจ้าได้จากการขายสินค้าไร้ค่าพวกนั้นคงจะไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของการฝึกฝนการต่อสู้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะได้รับความเดือดร้อนอะไรมาหรือยัง ... ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะไม่เต็มใจที่จะรับฟัง แต่ข้าไม่ต้องการที่จะคิดว่า ต่อไปในชีวิตสิ่งเดียวที่เจ้าจะทำได้คือการนอนลงบนเตียง"

เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงใจของเธอ หลินหมิงยิ้มและกล่าวว่า "ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่จะไม่ยอมแพ้ ข้าไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ "

เขายกมือของเขาและชี้ไปที่เปลวไฟที่สวยงามบนแผ่นจารึกและกล่าวว่า "เส้นทางของนักสู้ก็เป็นดั่งเปลวไฟนี้ การฝึกฝนการต่อสู้อาจให้เกิดอาการปวด อันตรายมีนับไม่ถ้วนเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ทุกคนที่เลือกเดินเส้นทางนี้ในที่สุดก็อาจกลายเป็นขี้เถ้า แต่นักสู้ที่แท้จริงจะเกิดจากขี้เถ้าเหล่านี้ แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงมอดขนาดเล็กอ่อนแอ ข้าจะเดินเข้าไปในเปลวไฟโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ข้าจะต่อสู้กับชะตากรรมของข้า แม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในล้านที่ข้าจะได้สัมผัสกับการเวียนว่ายตายเกิด ข้าจะเกิดใหม่เป็นเช่นเดียวกับนกฟีนิกซ์ เมื่อถึงตอนนั้นเปลวเพลิงใดก็เผาข้าให้มอดไม่ได้... "

หลินหมิงพูดคำเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บแผ่นจารึกของเขาไว้และเดินจากไป แต่เขาก็ยังได้ความภาคภูมิใจกลับมา

หลินหมิงออกจากร้านร้อยสมบัติเช่นมอดที่หายไปกับแสง นี่คือหัวใจของเขาในศิลปะการต่อสู้ นี่เป็นความทะเยอทะยานของเขา เขาจะสานมันต่อจนถึงวันที่เขาหมดลมหายใจ เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะถึงวันที่เขาจะทะยานไปในท้องฟ้า!!!


Scrat : หายไปเสียนานกลับมาแล้วนะครับ จะไม่หายไปไหนแล้ว(แอบอู้กับไข่มานิดหน่อย อิอิ) ต่อจากนี้สามารถติดตามอ่านนิยายได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ในเพจ Scrat Writer ได้เลยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ
***** ปล. เสาอาทิตย์ไปอ่านDWของไข่ก่อนนะ @จะอู้ *****