วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 5 : การเดิมพัน



บทที่ 005 การเดิมพัน

แปล : Artza
แก้ไขและเรียบเรียง : น้องไข่ โป๊ะแตก


ทันใดนั้นเองหลินหมิงหยุดเคลื่อนไหว เกิดเสียงที่คมชัดดังออกมาจากในตรอกซอย "หึหึ ไม่คิดมาก่อนเลย แกเองก็ระมัดระวังตัวดีเหลือเกินนะ แกคือหลินหมิงใช่ไหม? "วัยรุ่นสวมชุดผ้าไหมค่อยๆเดินออกมาจากด้านหลังของหอพัก มีรอยยิ้มอย่างดูถูกบนใบหน้าของเขา ด้านหลังของเขามีชายห้าคนอายุประมาณสิบแปดปีตามมา พวกเขาทั้งห้าส่วนใหญ่อยู่ในขั้นแรกของฝึกฝนทางกายมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในขั้นที่สองเช่นเดียวกับคนที่ใส่ชุดผ้าไหมคนแรกที่แสดงตัวออกมาก่อน

ในสถานการณ์เช่นนี้จู่ๆหลินเซี่ยวตงก็ตื่นตระหนก เขาจำชายในชุดผ้าไหมได้ มันเป็นสมุนคนหนึ่งของจู้ยันที่เห็นในช่วงลงทะเบียนของสำนักเจ็ดแก่นแท้ ไม่ว่าใครก็บอกได้ว่ามันมาที่นี่เพื่อหาเรื่อง


พวกเขามีทั้งหมดหก มีสองคนที่มีการฝึกฝนกายภาพขั้นที่สองและอีกสี่คนมีการฝึกผลกายภาพขั้นแรก สำหรับเขาและหลินตงพวกเขาทั้งสองเพียงระดับการฝึกฝนทางกายภาพขั้นแรก หากเกิดการการต่อสู้กันแล้วแน่นอนว่าพวกเขาจะจบลงด้วยการถูกทำร้ายฝ่ายเดียว วัยรุ่นในชุดผ้าไหมต้องเป็นนักสู้จากตระกูลที่มีฐานะอยู่บ้างในเมืองลิขิตฟ้า คนเหล่านี้มีทั้งพละกำลังและอำนาจ ขณะที่พวกเขาต้องเคารพกฏหมาย แต่คนพวกนี้มีเส้นสายสามารถรังแกหรือทำร้ายใครก็ได้ตามใจชอบ


"พวกแกต้องการอะไร?" หลินเซี่ยวตงตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
"ไปถามมันเองสิ" ชายในชุดผ้าไหมชี้ไปที่หลินหมิง "แกค่อนข้างน่าประทับใจที่กล้าทำร้ายหนึ่งในสมุนของข้า จนมันบอบช้ำไปทั้งตัว ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ กระดูกซี่โครงหักไปถึงสองซี่ "


สำหรับชายชุดผ้าไหมที่มาจากตระกูลที่มีฐานะอาจไม่จำเป็นต้องเห็นค่าชีวิตของลูกน้อง แต่เมื่อพูดถึงชื่อเสียงของพวกเขามันก็เป็นอีกเรื่อง นอกจากนี้สมุนนั่นได้รายงานว่ามันได้พูดชื่อของชายในชุดผ้าไหม แต่ก็ยังจบลงด้วยการถูกทำร้าย แสดงให้เห็นว่าหลินหมิงดูถูกชื่อเสียงตระกูลของมัน จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ชายชุดผ้าไหมที่โกรธแค้น


"แกก็พอจะมีฝีมือนี้ ข้าหวังยี่เกา! วันนี้ข้าอยากจะดูว่าแกจะไปได้ซักแค่ไหน! "วัยรุ่นในเสื้อผ้าไหมกล่าว ด้วยใบหน้าที่โมโห


หลินหมิงไม่เคยได้ยินชื่อหวังยีเกามาก่อนทั้งยังไม่เคยเหยียบย่ำชื่อเสียงอันใดเลย สมุนส่วนใหญ่มักจะตอแหลเพื่อที่จะกระตุ้นหวังยี่เกา หลินหมิงจึงหมดโอกาสที่จะได้อธิบายความจริง ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องเกิดการต่อสู้ขึ้น!!


'จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล'จะได้ทำประโยชน์ก็ตอนนี้แหละ!! แต่หลินหมิงเพิ่งเริ่มฝึกมันได้ไม่กี่วัน มันยังคงยากเกินไปที่จะสู้กับคนจำนวนมากเช่นในเวลานี้ ยิ่งพวกมันทั้งสองมีการฝึกฝนทางกายภาพอยู่ในขั้นที่สอง ไม่ต้องพูดถึงหลินเซี่ยวตง คงต้องถูกจับเป็นตัวประกันเป็นแน่

พิจารณาถึงภาพรวม เมื่อเรื่องนั้นเกิดขึ้นเขาต้องถูกบังคับให้ต้องสู้กับวังยี่เกาแน่นอน ต่อให้เขาชนะได้ขึ้นมาเขาก็ยังเดือดร้อน ปัญหาต่อไปจะมาจากพ่อของหวังยี่เจา พ่อมันเป็นหัวหน้ากองทัพของเมืองลิขิตฟ้า หลินหมิงสงสัยว่าบุคคลนี้เองก็คงไม่ฟังเขาอธิบายความจริงเช่นเดียวกัน จากการคำนึงถึงปัญหาต่างๆเขาก็ไม่ควรทำตัวให้เป็นที่น่าจับตามองของบุคคลเหล่านั้น


(ผู้แปลขออภัย:คนที่มาแย่งที่พักหลินหมิงเป็นลูกน้องหวังยี่เจา "มันขู่ว่านายน้อยมันเป็นลูกคนที่สองของแม่ทัพแห่งเมืองลิขิตฟ้า" จากเดิมที่แปรผิดเป็น "มันขู่ว่าลูกคนที่สองของมันอยู่กองทัพกลาโหม" ต้องขออภัยท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย)

หลินหมิงครุ่นคิด ทันใดนั้นก็จุดประกายความคิดภายในหัวของเขาถึงวิธีที่จะแก้ไขปัญหานี้ เขาหันหน้าไปทางหวังยี่เกา 


"เจ้าต้องการอะไร?"

"ข้าต้องการอะไรงั้นรึ?"หวังยี่เกา หัวเราะออกมาทันที 

"เจ้ายังกล้าถามอีกหรือ ว่าข้าต้องการอะไร?"

พวกชายหนุ่มที่มากับเขาต่างพากันหัวเราะออกมา ในสายตาของพวกมันหลินหมิงไม่แตกต่างจากคนโง่เง่าเพราะคำถามที่เขาได้ถามออกไป


หลังจากหัวเราะไปสักครู่ ในที่สุดหวังยี่เกาก็หยุดและกล่าวว่า "ข้าไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกแกว่าไอ้หน้าโง่หรือหมาหน้าโง่ดีตั้งแกถามประโยคนั้นออกมา ข้าจะเมตตาให้โอกาสแกซักครั้ง "

หวังยี่เกาพูดอย่างโหดเหี้ยม "เพียงแค่คุกเข่าลงแล้วเลียเท้าของข้าให้สะอาด จากนั้นหักแขนหักขาอย่างละข้าง ถ้าแกยอมทำข้าจะลืมเรื่องนั้นไป "


ได้ยินเงื่อนไขของหวังยี่เกา หลินเซี่ยงตงถึงกลับโกรธแค้น "ไอ้ห่าเอ้ย พี่หมิงไม่มีความจำเป็นต้องคุยกับพวกมัน สู้กับมันเลยดีกว่า ตระกูลหลินแห่งเมืองใบหม่อนสีเขียวไม่ได้อ่อนแอ ดูซิมันจะกล้าทำอะไรเราได้! "


หลินเซี่ยวตง รู้ว่าพวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างน่าสังเวชในวันนี้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชื่อเสียงของครอบครัวของเขาและหวังว่าพวกนั้นจะเกิดความกลัวขึ้นมาบ้าง ความเจ็บปวดทางกายคงไม่ได้เป็นปัญหา แต่หากพวกเขาต้องพิการมันจะเป็นจุดจบของวิถีแห่งการต่อสู้ พวกเขาไม่อาจฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ได้แม้จะมีสมุนไพรหายากแค่ไหนก็ตาม


"ตระกูลหลินแห่งเมืองใบหม่อนสีเขียว? พวกแกคิดว่าข้าจะต้องกลัวตระกูลหลินหรือไม่ หลินหมิงแกจะหักแขนหักขาแกเองหรือต้องให้ข้าเป็นคนทำให้? "


"ข้าขอท้าเจ้าสู้! เข้ามาได้เลย"หลินเซี่ยวตงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงมือข้างหนึ่งจับดาบของเขาเอาไว้ ความจริงเขารู้สึกกังวลอย่างมาก แต่เขาเป็นคนจำพวกยอมหักไม่ยอมงอ ยอมตายเสียดีกว่าต้องอับอาย!


หลินหมิงดึงหลินเซี่ยวตงไว้และพูดกับหวังยี่เกา "เงื่อนไขที่เจ้าต้องการก่อนหน้านี้? ก็เป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจดีนี้ ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้า "


"พี่หมิง ... " หลินเซี่ยงเกิดความกังวล แม้เขาจะเชื่อว่าหลินหมิงเป็นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในอนาคต แต่ปัจจุบันหลินหมิงมีการฝึกฝนกายภาพขั้นแรก จะมีวิธีเอาชนะหวังยี่เกาที่อยู่ขั้นที่สองของการฝึกฝนกายภาพได้อย่างไร? หลินเซี่ยวตง กลัวว่าหลินหมิงจะจบลงด้วยการเส้นเอ็นฉีกขาดจนพิการ

หลินหมิงกล่าว "ไม่ต้องห่วงข้ารู้ว่าข้าทำอะไรอยู่"

"ท้าประลอง?เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะสู้กับข้าได้?"

หวังยี่เกาไม่คิดว่าหลินหมิงจะเสนออะไรเช่นนี้ ภายในอาณาจักรลิขิตฟ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะไม่แทรกแซงในการท้าประลองระหว่างนักสู้ ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างนักสู้จะจบลงที่การท้าปละลอง ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายตกลงพวกเขาจะกลายเป็นผู้ชนะและผู้พ่ายแพ้ หลังจากการต่อสู้จบความขัดแย้งจะถูกตัดสินโดยผู้ชนะ และด้วยเกียรติแห่งวิถีการต่อสู้ ผู้แพ้ไม่อาจตามรังควานผู้ชนะได้อีก เป็นความเชื่อถือที่สำคัญอย่างยิ่ง


จากการพิจารณาของหวังยี่เกา หลินหมิงซึ่งมีเพียงการฝึกฝนกายภาพขั้นแรก เขาไม่เชื่อว่ามันจะทำอะไรเขาได้แต่เขาก็รู้สึกว่าการประลองกับหลินหมิงซึ่งอยู่ในขั้นต่ำกว่าอาจเสียศักดิ์ศรี

หลินหมิงตอบ "ไม่มีสิ่งใดต้องคิดให้ยุ่งยาก มีเพียงคำถามที่ว่าเจ้านั้นกล้าหรือไม่ ?"


"เจ้ากำลังบอกว่าข้าไม่กล้า? เจ้าได้สนุกจริงๆแน่เจ้าพลาดเองนะ ข้าตกลงรับคำท้าประลอง ! "


หลินหมิงกล่าวว่า "เยี่ยม มาเริ่มกันเลยดีกว่า"


ในตรอกซอยนั้นอยู่ไกลเมืองยิ่งยัก ไม่มีใครที่จะรู้เห็นเป็นพยาน หลินหมิงกลัวว่าหวังยี่เกาจะกลับคำพูด แต่ถ้าพวกเขาท้าประลองในที่ที่มีฝูงชนคนของเมืองลิขิตฟ้าแม้จะด้วยเหตุผลอันใด หวังยี่เกาก็ไม่อาจกลับคำได้ เว้นแต่ว่าเขาไม่ต้องการที่จะอาศัยอยู่ในเมืองลิขิตฟ้าอีกต่อไป


การท้าปละลองระหว่างนักสู้มักเป็นที่น่าจับตามองและได้รับความสนใจจากคนบริเวณนั้นอย่างไม่ขาดสาย ในช่วงเวลาที่คนจำนวนมากได้เริ่มมาชุมนุม แม้กระทั่งนักสู้บางคนก็ยังรวมอยู่ในผู้สังเกตการณ์ เมื่อเห็นสองผู้แข่งขันทั้ง ฝูงชนก็เริ่มพูดคุยกันเสียงดัง

"นั้นใช่ลูกชายแม่ทัพแห่งเมืองลิขิตฟ้าใช่ไหม?"


"เอาอีกแล้ว!!! ไอ้นี่มันกลั่นแกล้งคนอื่นๆอีกแล้ว ข้าขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเด็กน้อยที่โชคร้ายคนนั้นด้วย "


"ผู้ฝึกฝนกายภาพขั้นแรกจะท้าประลองผู้ฝึกฝนกายภาพขั้นที่สอง? ไอ้เด็กนั้นไม่หัดเจียมตัวเอาซะเลย "

"มันดูเหมือนว่าเด็กนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ คนธรรมดาสามัญบังเอิญบรรลุฝึกฝนกายภาพขั้นแรกได้ ช่างน่าสงสาร! โลกนี้คงมีคนพิการเพิ่มอีกคนแล้วสินะ ... "


...


ชื่อเสียงของหวังยี่เกา ในเมืองลิขิตฟ้าค่อนข้างจะอยู่ในทางที่ไม่ดี คนส่วนใหญ่จึงมักเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอกว่า ในสายตาของพวกเขาอาจเห็นความรักความเมตตาที่มีให้ต่อหลินหมิง


ผู้คนจำนวนมากต่างมาถึง หวังยี่เการู้สึกลำบากใจ การรังแกคนระดับต่ำกว่าไม่มีอะไรให้น่าภาคภูมิใจเลยสำหรับเขา นอกจากนี้ตัวตนของศัตรูของเขา ก็ต่ำเตี้ยเลี่ยดินเกินไปเมื่อเทียบกับเขา ดังนั้นหวังยี่เกาจึงไม่อยากให้มีผู้พบเห็นฉากนี้มากนัก!


หวังยี่เกากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "แกรออะไรอยู่? ข้าจะทำลายเส้นเอ็นแกให้เอง ให้แกได้เห็นถึงความห่างชั้นระหว่างเรา "


เมื่อเห็นประชาชนจำนวนมากมายมารวมตัวกันรอบๆ หลินหมิงหันหน้าไปหาหวังยี่เกา และตอบว่า"แน่นอนมาเริ่มกันเลย หากเจ้าเป็นผู้ชนะข้าจะยอมรับความเมตตาจากเจ้า(ความเมตตา=ความเมตตาที่หวังยี่เกาให้โอกาสหลิงหมิงเลียเท้าและหักแขนหักขา)แต่ถ้าหากข้าเป็นผู้ชนะจะให้ข้าเมตตาเจ้าบ้างหรืออย่างไรดี? "
ชนะ? เขาคิดว่าเขาสามารถชนะได้?!!! (เสียงมวลมหาประชาชน)

น้องไข่ โป๊ะแตก : สัสสสสจบค้างอีกแล้ว 55555555 พล่ามทั้งตอนไม่สู้ซักที