วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 21 จารึกของเด็กฝึกงานรึ?

ไท้เฟิงไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่ามู่ยี่จะอึ่งตกตะลึงถึงเพียงนั้น เขากล่าวว่า "ใช่ขอรับมันมีราคา 100 เหรียญทอง ที่ร้านค้าย่านการค้ากลางเมือง เจ้าของร้านบอกว่าเป็นเด็กฝึกงานที่ทำให้วาดมันขึ้น... "

"เด็กฝึกงาน ?! เด็กนรกล่ะสิ! "มู่ยี่รู้สึกประหลาดใจและอุทานออกมา แต่ก็คิดว่านี้เป็นไปไม่ได้ที่เด็กฝึกงานจะวาดจารึกระดับนี้ได้ มันควรจะเป็นเจ้าของร้านที่เข้าใจผิดพลาด แต่ใครที่มันเป็นคนโง่และยอมขายมันด้วยราคาเพียงไม่กี่เหรียญทองเช่นนี้ จริงๆหากคำนึงถึงความยุติธรรมแล้ว แม้มันจะมีมูลค่าหลายพันเหรียญทอง มันก็ยังถูกแย่งซื้ออย่างรวดเร็วเช่นกะหล่ำปลี

"นำข้าไปสถานที่แห่งนั้น!"

"ขอรับท่าน"

จากนั้นมู่ยี่พาฉินชิงหวนไปพร้อมกับเขาในทิศทางที่ไท้เฟิงนำไป พวกเขารถม้าที่ลากด้วยม้าตรงไปยังกลางเมือง

รถม้าแห่งของวงศ์ตะกูลฉินอาจจะไม่เป็นที่รู้จักสำหรับทุกคนในเมืองลิขิตฟ้า แต่มันก็ได้รับการยอมรับมากในส่วนมาก ในฐานะที่พวกเขาเดินอยู่บนถนน พวกเขาต่างหยุดเท้าเพื่อที่จะดูรถม้าและยืนอยู่นิ่งๆขณะที่รถม้าขับผ่านไป นี้คือการแสดงความเคารพต่อจอมพลฉิน

...

เวลาบ่ายในช่วงฤดูร้อนที่สดใส มันทำให้หลายๆคนรู้สึกถึงความเกียจคร้าน มันทำให้ทั้งร่างกายของเราอ่อนแอและไม่สนใจใยดีต่อการทำงาน (สภาพแวดล้อมรอบตัวน้องไข่เป็นฤดูนี้ทั้งปี)

ในศูนย์การซื้อขายจัตุรัสของเมือง เจ้าของร้านตัวอ้วนที่รับฝากขายแผ่นจารึกจากหลินหมิง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกที่ทางเข้าหน้าร้าน เขานอนลงในท่าที่สบายคล้ายจะไม่มีทางตื่นขึ้นมาได้อีก เขากำลังอยู่ในระหว่างการนอนหลับกลางวัน

ธุรกิจวันนี้ซบเซามาก ดังนั้นคนอ้วนอย่างเขาจึงยิ่งแสดงความขี้เกียจมากขึ้นอีก แต่ในขณะนี้ เขาได้ยินเสียงจังหวะก้าวเท้าชัดเขารีบตื่นขึ้นมาในทันที

เขาค่อยๆเปิดตาของเขาและประณามความคิดของคนเหล่านี้ พวกเขาไม่รู้หรืออย่างไรว่ารถม้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในย่านกลางเมือง?

อย่างไรก็ตามในขณะที่หันไปทางเสียงฝีเท้า(ฝีเท้าม้า)ที่ก้าวเข้ามา เขาเห็นสังเกตเห็นม้าหิมะขาวทั้งสี่ สายพันธุ์ของมันแสดงความสูงส่งของสายเลือดวงศ์ตระกูลของผู้เป็นเจ้าของ และยังมีเป็นสัญลักษณ์รูปโล่ทอง เขาตะลึงจนแทบจะตกออกจากเก้าอี้ของเขา

" ม้าดึงรถม้าของท่านจอมพล"

เจ้าของร้านตัวหนักรีบยืนขึ้น ทำไมท่านจอมพลถึงมาในเมือง มาในตลาดกลางเมืองเช่นนี้ ?

เขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เป็นรถม้าพาหนะที่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว และได้มาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าของร้านเขา พระเจ้าร้านของข้า ... นี่เรื่องอะไร ...ท่านจอมพลจะมาในร้านของเขา?

เมื่อม่านของรถม้าถูกยกขึ้น เจ้าของร้านร้างอ้วนเห็นชายชราและเด็กสาวที่งดงามก้าวออกมา ขาของเขาเริ่มสั่น ท่านมู่ยี่!!! แม่นางน้อยฉิน!!! สาเหตุที่บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองตัดสินใจที่จะที่ร้านเล็กๆของเขา?

"นี่มันอย่างนั้นรึ?" ฉินชิงหวนถามไท้เฟิง เมื่อเธอได้ยินว่ามีแผ่นจารึกขายที่นี่ เธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ฉินชิงหวน มีความสนใจอย่างมากในการจารึกตั้งแต่วัยเด็กและหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ของไท้เฟิงและหลี่ฉี เธอปรารถนาที่จะเรียนรู้เทคนิคการจารึกระดับนั้น!

"มันคือที่แห่งนี้ ที่ข้าซื้อแผ่นจารึกมา" ไท้เฟิงกล่าวในขณะที่เขาเดินนำไปด้านหน้า ร่วมกับฉินชิงหวนและมู่ยี่ พวกเขาเข้ามาในร้าน

เจ้าของร้านมีร่างกายเหมือนลูกชิ้นยักษ์ เขาพยายามยืนหลบทางตัวติดอยู่กับฝาผนัง เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ บรรยากาศเช่นเดียวกับอยู่ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง

"เจ้าของร้านเมื่อวานนี้ข้าซื้อแผ่นจารึกใดมา เจ้าจำมันได้หรือไม่?"

ไท้เฟิงอยู่ในระดับห้าของการฝึกฝนกายภาพ นอกจากนี้เขายังดูคล้ายกับโกเล็มเหล็กยักษ์ ทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็น เหมือนว่าสนามรบที่ห่างไกลและอันตรายคือบ้านของเขา ทำให้เจ้าของร้านใจสั่นขึ้นมาทันที

เจ้าของร้านรับพยักหน้า "ข้าจำได้ ข้าจำได้ว่ามันเป็นแผ่นจารึกของเด็กฝึกงานราคา 100 เหรียญทอง ... "



เจ้าของร้านร่างอ้วนตอบอย่างกลัวว่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับแผ่นจารึกที่เขาขายออกไป ถ้ามันมีปัญหาใดๆ แล้วคนเหล่านี้จะมาหาเขาเพื่ออะไร เขาคงต้องถูกลงโทษถึงตายเป็นแน่ Sh*T! เขาไม่ควรปล่อยให้เด็กโง่เง่านั้นเช่าจุดขายของเลย! แต่มันยังคงเป็นเพียงแผ่นจารึกจากเด็กฝึกงานที่ขายอยู่ส่วนในระดับกลางของร้าน เหตุใดเรื่องนี้ถึงไปเกี่ยวข้องกับจอมพลฉินได้?

"ข้าได้ยินว่าเจ้ายังมีอีกแผ่นหนึ่ง มันอยู่ไหน?" มู่ยี่ถามอย่างหงุดหงิด

เจ้าของร้านชี้นิ้วไปที่มุมๆหนึ่ง ชิ้นส่วนกระดาษสีเหลืองหยาบถูกกดอยู่เบื้องหลังบานหน้าต่างแก้ว

มู่ยี่ค่อยๆก้าวไปที่ชั้นวางของและก็มาถึงด้านหน้าของที่ที่ใช้เก็บแผ่นจารึก เขายกแก้วขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วหยิบแผ่นจารึกขึ้นมาอย่างนิ่มนวลเหมือนลูกคนหนึ่ง เขารู้สึกถึงความผันผวนของแรงดันจิตวิญญาณที่มาจากมัน แล้วสูดลมหายใจเข้าไปด้วยอากาศที่เย็นเฉียบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน!

"มันเป็นอย่างไร ทานอาจารย์ ?" ฉินชิงหวนถามขณะที่เธอเดินเข้าไป

"จารึกชิ้นนี้ ... ." มู่ยี่หายใจอีกสองสามครั้งเพื่อให้ตัวเองสงบลง แม้ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา "ในจารึกนี้ผู้สร้างที่ทิ้งพลังจิตวิญญาณเอาไว้มีการฝึกฝนกายภาพไม่เกินขั้นที่สาม ทั้งยังอาจจะต่ำยิ่งกว่านั้น! "

(ประมาณว่าการฝึกฝนจะแสดงถึงอายุของผู้จารึก เพราะตอนแรกจะมาฝึกฝนกายภาพจนถึงขั้น5ก่อน เพื่อให้มีพลังมากพอจะวางจารึกที่วาดลงในสมบัติอุปกรณ์ได้ แล้วจึงฝึกจารึกทีหลัง ที่ตะลึงเพราะอยู่ต่ำกว่าขั้นสามก็เพราะรู้ว่าคนวาดมันเป็นเด็ก)

ฉินชิงหวน รู้สึกตื่นเต้นในหัวใจของเธอ เธอเอาแผ่นจารึกไปและตรวจสอบด้วยแรงดันจิตวิญญาณของเธอ มันเป็นตามที่อาจารย์ของเธอกล่าว!

เมื่อไท้เฟิงได้กล่าวว่าแผ่นจารึกผลงานของเด็กฝึกงาน ฉินชิงหวนไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้และสันนิษฐานว่าเขาคงถูกหลอก แต่ตอนนี้เธอได้ข้อพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น ... ไม่น่าเชื่อ!

เธอกล่าวว่า "มันเป็นไปได้ว่าผู้จารึกจงใจ ลดระดับพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนให้อยู่ในระดับที่สามของการฝึกฝนกายภาพเพื่อวาดจารึก ??

มู่ยี่ ตอบ "ช่วงของขั้นผสานชีพจร กับระดับปราณฟ้าขั้นต้น มีช่องว่างความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่มันเป็นเรื่องยากอย่างล้นพ้นที่ลดหลั่นระดับลงมา แต่มันยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเอง และมันยังไม่มีความจำเป็นหรือผลประโยชน์อันใดที่จะทำเช่นนั้น ทั้งยังจะลดคุณภาพของจารึกลงไปอีก ข้าไม่สามารถเข้าใจความคิดของปรมาจารย์ผู้ที่สร้างมันได้เลยจริงๆ "

เจ้าของร้านตัวอ้วนฟังทั้งสองหารือเกี่ยวกับจารึกและรู้สึกว่าสมองจะลัดวงจร เกิดความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน เดิมทีเขาคิดว่าจารึกต้องมีข้อบกพร่องบางอย่างพวกเขาถึงมาที่ร้านเช่นนี้ แต่เมื่อฟังทั้งสองแล้ว จารึกมีความลับบางอย่างให้พวกเขามาเพื่อตรวจสอบมันด้วยตัวเอง

นั่นคือท่านมู่ยี่! เขาเป็นถึงหนึ่งในสามอันดับแรกของนักจารึกที่เก่งกาจแห่งอาณาจักรลิขิตฟ้า! แม้แต่เขาก็ยังตกใจในความแข็งแกร่งของจารึกชิ้นนี้ มันหมายความว่าอย่างไร

เจ้าของร้านตัวอ้วนรู้สึกเสียใจแทบปางตาย ถ้าเขารู้เรื่องนี้เขาคงไม่มีทางขายมันในราคาต่ำ

แต่ ... มันถูกวาดโดยเยาวชนที่แต่ตัวโทรมๆ เหตุใดมันถึงได้วาดจารึกที่รุนแรงร้ายกาจเช่นนี้ออกมา?

"เจ้าของร้าน เจ้าจำสิ่งใดเกี่ยวกับผู้นำมันมาฝากขายได้บ้างหรือไม่?"

"ใช่ ใช่ แน่นอนข้าจำมันได้" เจ้าอ้วนรีบพยักหน้า "เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี แต่งตังในชุดเสื้อผ้าธรรมดาและข้ายังมีที่อยู่ของเขาด้วย" (แม่งไม่หัวการค้าเล๊ย เป็นสแคร็ทนะ จะไปเหมามาขายเองไม่บอกใครหรอก หึหึ)

ในฐานะที่เป็นคนอ้วนกล่าวว่าเรื่องนี้เขาได้อย่างรวดเร็วเริ่มพลิกผ่านหนังสือของเขาของระเบียน ศูนย์กลางการค้ามักจะเก็บไว้จุดของการติดต่อเพื่อให้พวกเขาสามารถส่งมอบยอดขายของคณะกรรมการ

เด็กอายุ 15-16 ปี ... เร็วที่สุดเท่าที่ฉินชิงหวนได้ยินเช่นนั้น ความคิดแรกของเธอคือหลินหมิง เด็กหนุ่มที่มีความน่าประทับใจจากเธออย่างมากที่หน่วยพิณ มันน่าจะเป็นเขา?

การฝึกฝนกายภาพระดับที่สามหรือต่ำกว่า ... นักจารึกฝึกงาน ... ทังหมดนี่ ... คือ … มันต้องเป็นเขาแน่?

ตระหนักถึงความเป็นไปได้ฉินชิงหวนรู้สึกสั่นในหัวใจของเธอ ถ้ามันเป็นความจริงแล้ว 'อัจฉริยะ' ยังไม่เพียงพอที่จะยกย่องให้เขา เขาคนนั้นอาจถูกกล่าวขาลด้วยตำนานอันยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ไร้ขีดจำกัด!!!

เจ้าของร้านตัวอ้วนก็สั่นอย่างรุกรี้รุกรนในขณะที่เขารีบวิ่งไปหาที่อยู่ เขามองไปที่ที่อยู่ของเด็กหนุ่ม และพูดอย่างติดอ่างว่า "ศะ ... ศาลาจันทร์กระจ่าง เด็กคนนั้นอาศัยอยู่ที่ศาลาจันทร์กระจ่าง เขาเขียนไว้เช่นนั้นลง "

"ศาลาจันทร์กระจ่างรึ? รีบไปกันได้แล้ว "มู่ยี่กล่าว

ทันทีที่พวกเขาขึ้นรถม้า ฉินชิงหวนกล่าวด้วยความกังวลบางอย่าง "ที่อยู่นี้ถูกทิ้งไว้แล้วแปดวันที่ผ่านมา ข้าไม่ทราบว่าเขาจะยังคงพักอยู่ที่ศาลาจันทร์กระจ่างอีกหรือไม่ ผู้คนมักจะไม่ได้อยู่ที่นั่นนานเกินไป "



ฉินชิงหวนสันนิษฐานว่าหลินหมิงเป็นผู้เข้าพักอยู่ที่นั่น ศาลาจันทร์กระจ่างเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่หรูหราที่สุดของเมืองลิขิตฟ้า มันมีห้องโถงสำหรับจัดงานเลี้ยงและห้องพักจำนวนมาก แต่ภายใต้สถานการณ์ปกติมันก็เป็นเพียงที่สำหรับการเข้าพักชั่วคราวเพียงเท่านั้น