วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 23 ระดับปราณปลายฟ้า

ชี้แจงหน่อยนะ เรื่องระดับพลัง การฝึกฝนกายภาพขั้นผสานชีพจร(ขั้น6)>>ปราณฟ้าขั้นต้น>>ปราณปลายฟ้าแต่เดิมใช้คำว่าปราณฟ้าขั้นปลาย รู้สึกว่ามันไม่ลื่นไหลเท่าไหร ของใช้ปราณปลายฟ้าแทน
...

...



หลินหมิงรู้ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดว่าเขาเป็นใคร เขาจึงตัดสินใจว่าเขาจะปั้นตัวแทนปรมาจารย์ตนเขาขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกข่มขู่และปัญหาต่างๆ

การจารึกเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนด้วยตันเอง ยิ่งสำหรับเด็กหนุ่มสาววัยเยาว์แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ หลินหมิงจึง สร้างตัวละครของอาจารย์ของเขาขึ้นมา แม้ว่าตัวละครตัวนี้จะไม่ได้มีอยู่จริง

แน่นอนว่ามันมีความเสี่ยง ในโลกมีคนบ้าจำนวนมากที่จะไม่สนใจการดำรงอยู่ของบุคคลดังกล่าว หากหลินหมิงพบกับคนเช่นนั้น เขาจะตกอยู่ในอันตราย

แต่หลินหมิงก็ต้องยอมรับ ความเสี่ยงดังกล่าว เขาเลือกเผชิญหน้ากับพวกเขา เขาเองก็ได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มา เขาควรจะยอมแพ้และหวาดกลัวปัญหาเหล่านี้หรือ? ถ้าเขาเกิดความกลัวแล้ว มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางการต่อสู้

มู่ยี่เห็นหลินหมิงยืนเผชิญหน้าไม่คิดจะหลบหนี เขาจึงกล่าวบอกกับทุกคนที่อยู่ข้างหลังเขา "ออกไปก่อน"

ทุกคนได้ออกจากห้องเล็กๆนี้ไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงไท้เฟิงเองก็ด้วย มีเพียงมู่ยี่และฉินชิงหวน ที่ยังคงอยู่

มู่ยี่โคจรแรงจิตวิญญาณของเขาไปล้อมรอบทั่วทั้งห้อง "เจ้าหนุ่ม ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่ไม่ดีใดๆ นี้เป็นเพียงทักษะการปิดผนึกเสียงของข้า ภายใต้มันไม่มีใครจะสามารถที่จะได้ยินสิ่งที่เรากำลังพูดคุยกันได้ ข้าเพียงแค่อยากจะถามเจ้า เจ้าคือผู้วาดจารึกที่มีสัญลักษณ์รูปเปลวไฟใช่หรือไม่? "

มันเป็นประเพณีสำหรับนักจารึกที่จะทิ้งสัญลักษณ์มีของตัวเองเอาไว้กับผลงานจารึก มันระบุถึงผู้สร้างของพวกมันและเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังเส้นทางการจารึกของพวกเขา หลินหมิงใช้รูปเปลวไฟโหมกระหน่ำเป็นตัวแทนความปรารถนาของเขาที่จะเหยียบย่ำลงบนเส้นทางการต่อสู้

ฉินชิงหวน หยุดหายใจ ดวงตาของเธอกว้างและไม่กะพริบตาเลยในขณะที่เธอรอคอยคำตอบของเขา

หลินหมิงลังเลและพยักหน้ากล่าวว่า "เป็นข้าเอง"

เมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำแล้วเขาก็จะทำเช่นนั้นอย่างไม่ลังเล เขาจะอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งและคนอื่น ๆ จะเชื่อว่ามีปรมาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังของเขา เป็นหนุนหลังที่ไม่อาจให้ใครผู้ใดมารุกรานเขาได้

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ได้ยินคำยืนยันจากหลินหมิง มู่ยี่ อ้าปากค้างและฉินชิงหวนเองก็ทำตาโตด้วยความตกใจ

เธอเองก็เป็นนักจารึก! เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากซักเพียงใดที่จะเป็นนักจารึกได้ตอนอายุสิบห้า!

ฉินชิงหวนเข้าใจทุกความยากลำบากที่พบเจอมา อาณาจักรลิขิตฟ้าเป็นอาณาจักรเล็กๆ ในทวีปนภารินไหล(แปลมาถึงตอนที่23ก็แน่ใจเสียทีว่า ทวีปใหญ่กว่าอาณาจักร 555) ตัวเธอเองถือว่ามีความสามารถและพรสวรรค์ที่สูง แต่หากเธอได้ออกไปยังดินแดนอื่นๆแล้ว บางทีคนจำนวนมากมายในต่างดินแดนอาจจะมีความสามารถระดับเดียวกับเธอ

แต่ฉินชิงหวนยังไม่เคยได้ออกจากอาณาจักรมาก่อน เพราะอาณาจักรที่ล้อมรอบล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่สูงส่ง

ด้วยพรสวรรค์ระดับหก และความสามารถในการจารึกที่เรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใครในราชอาณาจักรลิขิตฟ้าฉินชิงหวนมีความภาคภูมิใจเช่นได้เกิดเป็นเทพเทวดา และไม่เคยรู้สึกด้อยกว่าใครในบรรดาเด็กรุ่นเดียวกับเธอ ฉินชิงหวนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเย่อหยิ่ง

แต่ในวันนี้เธอก็พ่ายแพ้อย่างชัดเจนกับผู้มีอายุรุ่นเดียวกับเธอในด้านการจารึก แม้ว่าเธอจะมีพรสวรรค์ที่สูงกว่าและมีการฝึกฝนกายภาพในขั้นที่สูงกว่ามากนัก

สำหรับการจารึกจะบอกว่าเธอเป็นเพียงนกตัวน้อยๆที่ยังไม่ได้หัดบินและเขาเป็นนกอินทรีทะยานขึ้นไปบนฟ้า ช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง มันห่างชั้นกันเกินไป!

เธอรู้สึกผิดหวัง แต่ฉินชิงหวนก็ไม่ได้หดหู่หรือสิ้นหวัง เธอรู้สึกตื่นเต้นเพราะในตอนนี้เธอได้พบเป้าหมายของเธอแล้ว เธอจะมุ่งมั่นที่พัฒนาตัวเอง!

กับชายหนุ่มคนนี้ฉินชิงหวนเต็มไปด้วยความอยากรู้ นอกจากนี้เธอยังหวังว่าจะได้กลายเป็นเพื่อนของเขาและมีความสามารถทัดเทียมกับเขาในอนาคต เธออยากเรียนรู้แลกเปลี่ยนเทคนิคจารึกกับเขา!

แต่เธอจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เธอได้รับการปฏิเสธจากเขา ฉินชิงหวนกลัวว่ามันอาจเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้ สำหรับผู้หญิงเป็นธรรมดาที่จะเขินอายและเป็นแผลในใจที่ถูกปฏิเสธเช่นนั้น หญิงสาวผู้งดงามจากตระกูลขุนนางเช่นนี้ แม้ว่าในหัวใจของเธอ เธอจะอยากจะเป็นเพื่อนของเขา แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ไม่กล้าคิดที่จะเชิญเขาอีกครั้ง

หลังจากที่มู่ยี่ได้ยินคำตอบจากหลินหมิง ในที่สุดเขาก็เชื่ออย่างมั่นใจว่า เรื่องนี้คือเรื่องที่ไม่น่าเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้อย่างแท้จริง เดิมที่เขาได้เดาว่าผู้สร้างจารึกจะต้องมีการฝึกฝนอยู่ในขั้นที่สาม แต่มันดูเหมือนว่าเขาผิด

การฝึกฝนของหลินหมิงมีเพียงขั้นแรก เป็นเพียงจุดสูงสุดของชั้นแรกเท่านั้น แต่เพราะรากฐานที่มั่นคง,ประสบการณ์,ความแม่นยำของการบังคับจิตวิญญาณของเขา มันได้ร่วมกันสร้างภาพลวงตาว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างโดยผู้ที่มีการฝึกฝนกายภาพขั้นสาม!

เพราะจิตวิญญาณอันแรงกล้าและหนาแน่นของเขา เป็นไปได้ว่าเขาจะได้รับการฝึกโดยมรดกวรยุทธในตำนาน ชนิดที่แม้แต่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินยังยากจะหามันมาครอบครอง

นอกจากนี้เด็กหนุ่มคนนี้ยังขยันหมั่นเพียรทุ่มเทอย่างเต็มที่ ... เขาสามารถใช้เพียงแค่ด้านหลังของมีดเพื่อตัดเนื้อของสัตว์ที่ดุร้ายออกจากกันได้อย่างราบเรียบ บางทีเด็กหนุ่มคนนี้อาจมาจากตระกูลที่เก่าแก่ และได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์ที่มากความสามารถ!

เมื่อมีความคิดเช่นนี้ มู่ยี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆและถามด้วยน้ำเสียงเคารพ "ขอโทษที่ต้องถามเช่นนี้ ข้าจะรู้ชื่อของปรมาจารย์ที่น่านับถือของเจ้าได้หรือไม่"

มู่ยี่มีตำแหน่งที่สูงส่งในราชอาณาจักรลิขิตฟ้า แม้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเขายังไม่จำเป็นต้องเคารพหรือเกรงกลัว แต่จากการแสดงออกของเขา เขามีความเคารพเกรงกลัวต่อความลึกลับและอำนาจอันยิ่งใหญ่จากปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังของหลินหมิง

หลิงหมิงกล่าวว่า "เรื่องนี้... ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ปรมาจารย์ของข้าเคยบอกข้าว่า ห้ามกล่าวนามของท่านกับผู้ใดเป็นอันขาด เมื่อข้ามีอายุได้สิบสองปี ปรมาจารย์ของข้าได้พบข้าและสอนข้าถึงทักษะบางอย่าง"หลินหมิงได้อาศัยอยู่ในเมืองใบหม่อนสีเขียวมาตั้งแต่เด็กดังนั้นนี้เป็นเรื่องง่ายในการตรวจสอบ ที่เขากล่าวเป็นการทำไปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยต่างๆ

มู่ยี่กล่าว "ข้าขอโทษที่ล่วงเกินถามถึงนามปรมาจารย์ของเจ้า สำหรับผู้อาวุโสที่มีทักษะสูงเช่นนั้น พวกเขาคงเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก และเป็นเรื่องยากที่จะหาเบาะแสของพวกเขา ข้าไม่ควรผลีผลามถามออกไป... มันเป็นเหมือนกับว่าการทักษะการจารึกทั่วทั้งราชอาณาจักรลิขิตฟ้า เป็นเพียงของเด็กเล่นสำหรับปรมาจารย์คนนั้น เขาน่าจะเป็นใครซักคนจากนิกายโบราณในต่างแดน ... "

แม้มู่ยี่จะบอกว่าเขาไม่ต้องการที่จะรู้ถึงปรมาจารย์ของหลินหมิง แต่เขายังพยายามจะสอบถามถึงข้อมูลบางอย่าง เพราะปรมาจารย์ที่มีความสามารถระดับนี้ ถือเป็นบุคคลระดับตำนานยากที่จะได้พบเจอ มันคงต้องอาศัยโชคชะตาอย่างมากที่หนึ่งชีวิตที่เกิดมาจะได้พบเจอกับบุคคลเหล่านี้แม้เพียงซักครั้ง !

มู่ยี่ได้ติดอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปราณฟ้าขั้นต้นมาเป็นเวลานานมาก เขาต้องการที่จะผ่านไปสู่ขั้นต่อไป

แต่ไม่มีผู้ใดที่มีความรู้มากพอจะให้คำแนะนำเขาได้เลย อีกเพียงขั้นตอนเดียวเขาก็จะเข้าสู่ระดับปราณปลายฟ้า แต่เขาก็มาถึงทางตัน!

ในประวัติศาสตร์แปดปีที่ผ่านมาของอาณาจักรลิขิตฟ้า มีผู้เข้าถึงขั้นผสานชีพจรเป็นจำนวนมาก และพวกเขาเหล่านั้นก็สามารถเข้ามาสู่ระดับปราณฟ้าขั้นต้นได้จำนวนหนึ่ง

แต่กลับไม่มีใครในอาณาจักรลิขิตฟ้าที่มีความสามารถมากพอจะเป็นนักสู้ผู้เชี่ยวชาญระดับปราณปลายฟ้าได้เลยแม้แต่คนเดียว!

หากขั้นดัดกระดูกและผสานชีพจรมีความยากที่จะก้าวข้ามเป็นดังแม่น้ำสายหนึ่ง ความยากที่จะก้าวข้ามระดับปราณฟ้าขั้นต้นเพื่อไปสู่ระดับปราณปลายฟ้าก็เป็นเหมือนมหาสมุทรที่บ้าคลั่ง! หากไร้ซึ่งนิกายทรงพลังที่ให้การชี้นำสนับสนุนหรือคำชี้แนะจากประสบการณ์ของผู้ที่ผ่านเข้าไปได้แล้ว โอกาสที่จะเข้าสู่ระดับปราณปลายฟ้าแทบเท่ากับศูนย์!

มันก็สายเกินไปแล้วสำหรับมู่ยี่ที่จะหาโอกาสเข้านิกายเพื่อฝึกฝน ความหวังเดียวของเขาก็คือการพบปรมาจารย์ผู้เก่งกาจที่สามารถจะชี้นำเขาให้มีโอกาสก้าวเข้าไปสู่ระดับปราณปลายฟ้าได้ แม้เพียงสักนิดก็ยังดี

ในท้ายที่สุดเขาไม่ได้ต้องการที่จะเข้าสู่ระดับปราณปลายฟ้า เขาแค่อยากความลับของมัน อยากรู้ทิศทางที่เขาควรจะฝึกฝนต่อไปด้วยระยะเวลาที่ที่เหลือของชีวิตของเขา

หลินหมิงกล่าวขึ้นมา "ปรมาจารย์ของข้าเป็นผู้สันโดษ แต่ท่านเคยบอกว่าท่านเคยได้เข้าร่วมนิกาย"

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น มู่ยี่เกิดความอิจฉาเล็กๆขึ้นมา เขาไม่เคยได้โอกาสที่จะเข้าสู่นิกาย แต่ปรมาจารย์ของ หลินหมิงกลับได้เข้าร่วมในนิกาย เขากล่าวว่า "ระดับการฝึกฝนของปรมาจารย์ของเจ้าจะต้องสูงส่งอย่างมาก ที่จะออกมาจากนิกายและออกเดินทางไปทั่วโลก เขาอาจมาถึงขีดจำกัดของระดับใดระดับหนึ่งและไม่อาจก้าวข้ามไปได้อีก บางทีระดันนั้นอาจจะระดับปราณปลายฟ้าใช่หรือไม่ "

สำหรับมู่ยี่ ระดับปราณปลายฟ้ามันช่างห่างไกลแสนไกล สำหรับนักสู้ที่ไม่ได้อยู่ในนิกาย ระดับปราณปลายฟ้าคือสิ่งที่ไม่อาจแม้จะจินตนาการถึงมัน

เมื่อได้ยินคำถามของมู่ยี่ ในที่สุดหลินหมิงก็เข้าใจเจตนาของชายชราคนนี้ ความสนใจของมู่ยี่ในครั้งนี้คือ 'ปรมาจารย์'ของเขา ดวงตาของมู่ยี่มีความกระตือรือล้นและเต็มไปด้วยความจริงจัง เขาต้องการที่จะหาคำตอบบางอย่างสำหรับการฝึกฝนของตันเอง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะฝึกฝนให้ก้าวข้ามไปอีกระดับหลังจากที่เขามีอายุมากถึงเพียงนี้ ในความเป็นจริงเขาอาจจะมาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว

เมื่อคิดเช่นนั้น หลินหมิงคิดถึงความทรงจำของชิ้นส่วนวิญญาณจากผู้อาวุโส ในความทรงจำเหล่านี้มีความทรงจำของการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกถึงระดับต่างๆ

หลินหมิงกล่าว "ข้าไม่ทราบถึงระดับของท่านปรมาจารย์ แต่ท่านได้เคยกล่าวไว้ว่าวิถีการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญ ตอนนี้เขากำลังอยู่ในส่วนที่สอง "

"โอ้? ส่วนที่สองรึ? "ดวงตาของมู่ยี่ส่องสว่างขึ้นมา เขากลัวว่าอาจเสียโอกาสที่จะได้ฟังคำพูดจากปรมาจารย์ระดับสูงเช่นนี้ไป แม้เพียงคำเดียว เพียงแค่คำเดียวก็ถือว่าล้ำค่ายิ่งนัก

ตาฉินชิงหวนบังเกิดความสดใสและเธอไม่อาจกระพริบตาได้เลยในขณะที่เธอได้ฟังหลินหมิงสนทนากับอาจารย์ของเธอ