วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 24 ความเข้าใจ

...

...

...

หลินหมิงกล่าวว่า "ศิลปะการต่อสู้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญสำหรับการฝึกฝน คือการฝึกฝนร่างกายและการฝึกฝนจิตวิญญาณ เพื่อจะปลูกฝังความเข้าใจเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายให้เป็นดั่งสัญชาตญาณ เหล่านักสู้มักจะกล่าวว่าเส้นทางการฝึกฝนนั้นเป็นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด และร่างกายก็เปรียบเสมือนเรือที่จะข้ามทะเลและจิตวิญญาณก็คือการพายเรือให้เคลื่อนที่ไป… "

"หากไม่ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งแล้วเรือก็จะไม่แข็งแกร่งไม่สามารถใช้เพื่อข้ามทะเลไปได้ เมื่อเจอกับพายุมันก็จะถูกคว่ำอย่างง่ายดาย หากไม่ปลูกฝังจิตวิญญาณให้เข้มแข็งแล้วแรงจูงใจของพวกเขาก็จะไม่เพียงพอและไม่สามารถพายเรือลำนั้นให้มาถึงชายฝั่งห่างที่แสนห่างไกลได้ "

"จากเดิมเราฝึกฝนร่างกายมาตลอดเพื่อมาถึงระดับปราณฟ้าขั้นต้น แต่จากปราณฟ้าขั้นต้นไปยังปราณปลายฟ้ามันมีจุดเปลี่ยน การฝึกฝนระดับปราณฟ้าขั้นต้นก็เหมือนการฝึกร่างกาย การฝึกฝนระดับปราณปลายฟ้าก็เหมือนการฝึกฝนจิตวิญญาณทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง"

ทันทีที่ได้ยินดังนั้นมู่ยี่ เป็นต้องต้องสะดุ้งและรู้สึกว่าอยากจะเป็นลม ไม่น่าแปลกใจเลยทุกปีที่ผ่านมา เขาไม่สามารถไปต่อได้อีก แม้จะเพียงก้าวเล็กๆ เขาตระหนักได้ว่าเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ผิดพลาดมาตลอดเวลา เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าระดับปราณปลายฟ้าจะเป็นเช่นนี้ เขาพึมพำขึ้น "แล้วความหมายของระดับปราณปลายฟ้าคือสิ่งใด?"

หลินหมิงกล่าวต่อ "ท่านปรมาจารย์เคยบอกว่าความลับอยู่ที่วิธีการหายเช่นทารกในครรภ์ เขากล่าวว่าเมื่อมนุษย์เป็นทารกในครรภ์พวกเขาไม่สามารถหายใจได้ทางจมูกหรือปาก มันขึ้นอยู่กับแม่ที่ให้กำเนิดจะส่งผ่านการเชื่อมต่อแห่งการดำรงชีวิตลงมาให้ นี่คือวิธีที่พวกเขาใช้หายใจ นี่คือความหมายของระดับปราณปลายฟ้า หลังจากที่มนุษย์เกิดมาแล้วพวกเขาสามารถหายใจทางจมูกและปาก อากาศในโลกจึงเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่ค่อยๆสะสมมากขึ้นๆ นี่คือลักษณะของปราณฟ้าขึ้นต้น แต่ในระดับปราณปลายฟ้าจิตวิญญาณจะเข้าสู่สภาวะของความเงียบสงบและความสุข ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีที่จะปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและจิตวิญญาณจะกลายเป็นแกนโลกและมีความสามารถในการสื่อสารกับธรรมชาติ กระทั่งความสามารถในการกระตุ้นท้องนภาฟ้าและแผ่นดินด้วยให้สั่นสะเทือนด้วยแรงจิตวิญญาณ นั่นคือแก่นแท้ของปราณปลายฟ้าแต่การข้ามระดับปราณฟ้าขั้นต้นไปปราณปลายฟ้า อนึ่งจะต้องตัดทุกรากฐานของชีวิตและกลับไปสู่สถานะเดียวกับทารกที่อยู่ในครรภ์. "

"อย่างนี้เอง ... ข้าเข้าใจ ... มันคือ ... " มู่ยี่พึมพำภายใต้ลมหายใจของเขา ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นทั้งความชื่นชมและความหวาดกลัว เด็กหนุ่มคนนี้กล่าวคำพูดเพียงไม่กี่คำในการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ(ไม่กี่คำพ่อง กุแปลแทบลากเลือด) เขาเป็นดังนักปราชญ์โบราณ ถ้าเด็กคนนี้มีคำสอนเหล่านี้เขาคงไปถึงระดับปราณปลายฟ้าได้ในเร็ววัน!

นิกายและพรรคสามารถเข้าร่วมเพื่อที่จะพึ่งพามรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขา นักสู้ที่พยายามจะคลำหาทางด้วยตนเองควรจะไปพึงพากลุ่มคนเหล่านี้ มู่ยี่กล่าว "เป็นเรื่องที่โง่เง่า! ข้ามาถึงขั้นผสานชีพจรเมื่ออายุสามสิบหกปีและขึ้นสู่ระดับปราณฟ้าขั้นต้นตอนอายุได้ห้าสิบปีและหลังจากนั้นเวลาอีกหกสิบปีของข้าก็มีค่าเป็นศูนย์ข้าไม่อาจแม้จะคิดหรือฝันถึงระดับปราณปลายฟ้าได้! และข้าได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดมาตลอดเวลา! ข้าได้เริ่มต้นในเส้นทางที่ผิดมาจนถึงในขณะนี้! ข้าสูญเสียเวลาไปหกสิบปี! น่าเศร้า! น่าเศร้าอย่างยิ่ง! "

ใบหน้าของมายี่รู้สึกตื่นเต้นและอารมณ์ของเขาเองก็มีความซับซ้อน หลินหมิงยืนอยู่ที่ด้านข้างและเฝ้าดูการถอนหายใจของเขา คนแก่ที่ไม่ได้มีนิกายหนุนหลัง ต้องการจะก้าวเข้ามาในระดับปราณปลายฟ้า นี้คือความหวังตามธรรมชาติ สิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือมรดกความรู้และความเข้าใจจากนิกายเพื่อให้บรรลุในเรื่องเหล่านี้ แต่ที่นิกายจะควบคุมความลับเหล่านี้เอาไว้ ไม่ให้แพร่กระจายออกไป?

จากระดับปราณฟ้าขั้นต้นไปสู่ปราณปลายฟ้า อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นเพื่อฝึกฝนจิตวิญญาณ มันจำเป็นต้องมีโอสถที่ล้ำค่า วิธีการหามาซึ่งตัวโอสถเหล่านี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยนิกายเหล่านั้น ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไป แต่แม้พระราชวงศ์ไม่สามารถซื้อมันได้!







ดังนั้นแม้ว่าหลินหมิงจะบอกมู่ยี่เรื่องความทรงจำเหล่านี้ เพื่อจะให้เขาได้มีโอกาสเข้าสู่ระดับปราณปลายฟ้า แต่มันก็แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะยังขาดโอสถล้ำค่าพวกนั้น

หลินหมิงกล่าวว่า "ท่านปรมาจารย์เคยบอกว่าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคหรือนิกายแล้ว การจะเข้าสู่ระดับปราณปลายฟ้าเป็นไปไม่ได้ "

มู่ยี่กล่าว "ข้ารู้ ... ข้ารู้แล้ว ... มันคือชีวิตความปรารถนาตลอดมาของข้า แม้ว่าข้าผมจะไม่สามารถบรรลุความปรารถนาของข้าได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ได้รู้ถึงทิศทางและสามารถตายได้อย่างสงบและโดยไม่มีเรื่องใดค้างคาใจ "

แม้ว่ามู่ยี่จะกล่าวว่าคำพูดเหล่านั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความโดดเดี่ยว หลินหมิงถอนหายใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้มีลูกบาศก์ลึกลับแล้วบางทีเขาก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับมู่ยี่ หลังจากถึงระดับปราณฟ้าขั้นต้น ตลอดเวลาต่อจากนั้นคงทำได้เพียงฝันถึงระดับปราณปลายฟ้าไปตลอดชีวิต

ในที่สุดมู่ยี่ก็พูดกับหลินหมิง "เจ้าเพื่อนวัยเยาว์ หลังจากได้พบเจ้าครั้งแรก ข้าก็รู้สึกกับเจ้าเช่นเพื่อนเก่าคนหนึ่ง หากว่าเจ้าไม่สนใจเรื่องอายุแล้ว ข้าก็จะเป็นเพื่อนที่ดีของเจ้า "

หลินหมิงเองก็ต้องการผูกมิตรกับคนมีชื่อเสียงอย่างมู่ยี่เช่นกัน เขากล่าว "ข้าเองก็ต้องการที่จะผูกมิตรเป็นเพื่อนกับท่านเช่นกัน"

"ฮ่าฮ่า! แล้วไม่มีวันอื่นวันใด ที่น่าเฉลิมฉลองไปมากกว่าวันนี้อีกแล้ว! เราไปชั้นล่างและจัดงานเลี้ยงที่ศาลาจันทร์กระจ่าง เราจะดื่สุราและพูดคุยกัน แน่นอนทั้งหมดนี่ข้าเลี้ยงเอง! เป็นมิตรกับข้าเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง "

หลินหมิงลังเลเล็กน้อยและตกลง นอกจากนี้เขายังกล่าว "ท่านมู่ยี่เรื่องการจารึกของข้า ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยเก็บไว้เป็นความลับ "

แม้ว่าหลินหมิงจะสร้างปรมาจารย์ที่ไร้ตัวตนขึ้นมาแล้ว เขายังต้องการที่จะหลีกเลี่ยงผู้ที่มีความโลภ มันจะลดอันตรายและความเสี่ยงของเขา หากไม่เผยแพร่เรื่องความสามารถที่แท้จริงของเขาออกไป

มู่ยี่เองก็เดาไว้ได้ถึงความกังวลของหลินหมิงและกล่าว "น้องชายข้า โปรดโล่งใจเถิด ตราบใดที่จอมพลฉินยังเป็นจอมพลแห่งเมืองลิขิตฟ้า ข้ากล้ารับประกันความปลอดภัยของเจ้า! หากน้องชายของข้าได้พบกับปัญหาใด ๆแล้วเจ้าจงใช้ยันต์สื่อสารนี้เรียกข้า ข้าจะมาจัดการกับเรื่องเหล่านั้นให้เอง ตอนนี้ข้าได้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แต่ ... ทำไมน้องชายจะต้องขายจารึกราคาถูกและทำงานเป็นเด็กแร่เนื้อที่ศาลาจันทร์กระจ่างด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนอย่างนั้นรึ? "

ได้ฟังมู่ยี่พูดเช่นนั้น หลินหมิงยิ้มออกมาและกล่าวอย่างจริงใจ "มันเป็นเพราะเหตุผลทางฐานะของข้า ปรมาจารย์เพียงสอนความรู้ข้าเท่านั้น ท่านไม่เคยได้ให้สมบัติเงินทองใดใด ตระกูลของข้าก็เป็นเพียงตระกูลชั้นกลางสามัญชน ข้าจึงขัดสนเงินทองสำหรับฝึกฝนการต่อสู้”

"มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เส้นทางการฝึกฝนของนักสู้นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงฟุ่มเฟือย ทั้งยังต้องขยันอดทน ห้ามเกียจคร้านในการฝึกฝน และต้องเผชิญกับความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา ปรมาจารย์ของเจ้าต้องมีสติและมีประสบการณ์มากถึงจะประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนั้น ธรรมชาติย่อมมีเหตุผลของมัน แต่ถ้าน้องหลินยังคงต้องการที่จะขายจารึกอยู่ ข้าสามารถซื้อมันได้ในราคาในตลาด ถ้ามันเป็นจารึกระดับเดียวกับชิ้นนั้น หากข้าจะซื้อมันในราคา 3000 เหรียญทองเพียงพอหรือไม่?”

หลังจากที่หลินหมิงได้ยินราคานี้หัวใจของเขาเกือบจะพุ่งทะลุหน้าอกออกมา 3000 เหรียญทอง!

3000 เหรียญทอง เขามีมันอีกสามชิ้นนั่นคือ 9000 เหรียญทอง! แม้ว่าหลินหมิงจะคาดว่าจารึกของเขาจะต้องมีราคาสูงขึ้น แต่เขาไม่ได้คิดว่าพวกมันจะรวมกันสูงถึง 9000 เหรียญทอง!

ทั้งหมดนั่นคือ 9000 เหรียญทอง! มูลค่าทั้งร้านอาหารของตระกูลหลิน ยังมีมูลค่าเพียง 3000 เหรียญทอง ถ้าเขาสามารถซื้อร้านอาหารให้พ่อแม่ที่เคยเป็นเพียงลูกจ้าง พ่อแม่ของเจ้าจะกลายเป็นเจ้าของร้านและไม่ต้องทำงานหนักเช่นเดียวกับปัจจุบัน

เขาจะเหลืออีก 6000 เหรียญทองและสามารถใช้มันซื้อโอสถ เขาอาจจะซื้อมันมากินๆเพื่อเร่งการฝึกฝน ได้มากมายเช่นเดียวกับที่ซื้อข้าวกินในแต่ละวัน!

สำหรับโสมเลือดแล้ว เขาสามารถกินหนึ่งและโยนทิ้งอีกหนึ่งได้อย่างไม่ต้องเสียดายซักนิด เพราะสำหรับเขา การสร้างจารึกมันช่างง่ายดาย

หลิงหมิงตื่นเต้นอย่างสุดหัวใจ และพูดขึ้น "ท่านผู้อาวุโส ข้าขอบคุณท่านมาก"

มู่ยี่เห็นความสุขของหลินหมิง เมื่อหลินหมิงอยู่กับเจ้านายของเขาที่ศาลาจันทร์กระจ่าง เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและประหยัด แต่ตอนนี้เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มอายุสิบห้าปีพบว่ามันยากที่จะยอมรับสิ่งมหัศจรรย์ตรงหน้าทั้งหมด เหมือนว่าเขาได้ครอบครองสมบัติที่ทั่วทั้งโลกจะมี

มู่ยี่กล่าวขึ้นมา "เป็นเรื่องธรรมดาที่จารึกระดับนั้นจะมีมูลค่าเท่านี้ นอกจากนี้โปรดอย่าเรียกข้าท่านผู้อาวุโส ข้ามรชื่อว่ามู่ยี่ ชื่อเต็มของข้าฉันคือ มู่ยี่เชา เรียกเพียงแค่ มู่ยี่ ก็พอ "

“จะดีรึ ... "หลินหมิงลังเลเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่ยี่มีฐานะอะไร แต่จากการแสดงความเคารพของฉินชิงหวนสถานะของผู้ชายคนนี้จะต้องอยู่ในระดับสูง หลินหมิงไม่ได้มีปัญหาว่าจะเรียกผู้อาวุโสตรงหน้าว่าอะไร และผู้อาวุโสก็เป็นคนเป็นผู้ต้องการใช้เขาเรียกเช่นนั้น เขาจึงพยักหน้าตอบตกลง

มู่ยี่ยิ้มและกล่าว "ชิงหวนไปแจ้งศาลาจันทร์กระจ่าง สำรองห้องจัดเลี้ยงและเครื่องดื่มให้ข้า และสำหรับน้องชายหลินด้วย "

ฉินชิงหวนที่เคยเงียบ เธอตั้งใจฟังเกี่ยวกับสิ่งที่หลินหมิงอธิบายถึงระดับปราณปลายฟ้าอย่างตั้งใจ ตอนนี้เธอได้ยิน มู่ยี่กล่าวเช่นนั้น เธอกล่าวตอบอย่างตื่นเต้น "ค่ะ ท่านอาจารย์ "

เมื่อพนักงานของศาลาจันทร์กระจ่าง ได้รับคำสังจากมู่ยี่ และได้ถามหลินหมิงถึงเครื่องดื่มสำหรับเขา และคิดในใจ

มู่ยี่เป็นคนระดับใด? เขาเป็นยอดนักสู้ผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมารับใช้ในวัง อาจารย์ของฉินชิงหวนที่เป็นผู้สืบราชสมบัติของจอมพลฉิน อาจเป็นอาจารย์ขององค์จักรพรรดิหญิงในอนาคต! ที่ไม่เพียงมีการฝึกฝนสูงส่ง เขายังเป็นผู้มีความชำนาญในการจารึกและมีฝีมือในทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ เขาเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง! แม้พระมหากษัตริย์ยังต้องให้การเคารพแก่เขา

เมื่อทั้งสามจากไปทั่วทั้งห้องครัวดูเหมือนจะกำลังพูดถึงเรื่องที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นตาตื่นใจ แท้จริงแล้วหลินหมิงเป็นใคร มูยี่ถึงได้พูดคุยเหมือนสหายเช่นนั้น?

หากความจริงแล้วฐานะของเขาไม่ได้เล็กๆอย่างที่เป็นอยู่ เขาจะเต็มใจที่จะทำงานแร่เนื้อที่ศาลาจันทร์กระจ่างหรือไม่ เป็นไปได้ว่าเขาจะไปจากห้องครัว หลินหมิงมีทักษะการแร่เนื้อที่ใครๆต่างให้การยอมรับ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ามันเป็นงานที่ใครต่อใครอยากจะทำ

"เจ้าเด็กแร่เนื้อคนนั้นมีภูมิหลังเช่นไรกันแน่นะ?"

"ข้าเองก็ไม่ทราบจริงๆ ... "

บริกรทั้งสองที่ให้บริการอยู่ก็ไม่อาจเข้าใจเรื่องของหลินหมิง ได้แต่คุยกันในขณะที่พวกเขาให้บริการ พวกเขาทั้งสองทุ่มเทที่ทำงานอย่างหนักหวังได้ขึ้นเงินเดือน แต่ละคนมีอายุยี่สิบปีพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูดีโดดเด่นและยังมีความเชี่ยวชาญในบทกวีและภาพวาด พวกเขาได้เห็นเป็นมู่ยี่และฉินชิงหวนเป็นครั้งแรกและถึงกับตกใจ หลังจากที่การจะได้เงินรางวัล(ทิป)จากแขกผู้มีเกียรติเป็นที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ในครั้งนี้มันก็เกิดขึ้นมีรางวัลสำหรับพวกเขาถึง10เหรียญทอง สำหรับการให้บริการที่ดีซึ่งมันมีค่าเทียบเท่ากับค้างจ้างของพวกเขาถึงสองเดือน พวกเขาต่างไม่อยากจะเชื่อ ได้แต่ชายตามองตามหลินหมิงที่เคยเป็นเด็กแร่เนื้อคนนั้นไป

อาหารที่จัดเลี้ยงดูเรียบง่าย แต่รสชาตินั้นเลิศล้ำกว่าที่ตาเห็น สุราราคาหลายร้อยเหรียญทอง ‘สุรามังกรแดง’ มันถูกปรุงขึ้นเป็นพิเศษด้วยสูตรลับและผสมด้วยสมุนไพรที่หายากมากมาย นักสู้ที่ได้ดื่มมันจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในและส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกายให้มีสุขภาพที่ดี พร้อมทั้งยังช่วยเร่งการฝึกฝนอีกด้วย อย่างไรก็ตามวิธีการปรุงแต่งของมันนั้นซับซ้อนและวัตถุดิบที่ใช้ก็มีราคาสูง หากหลินหมิงไม่ได้เป็นมิตรสหายของบุคคลชนชั้นสูงแล้ว คงหมดโอกาสที่จะได้ลิ้มรสมัน

หลังจบงานเลี้ยง มู่ยี่ถามหลินหมิงเรื่องที่อยู่ของเขา มู่ยี่อยากให้เขาย้ายมาพักในคฤหาสน์จอมพลถ้าเขาต้องการ แต่หลินหมิงคิดว่ามันจะไม่สะดวกในการฝึกฝนการต่อสู้ของเขา และการปกปิดความลับของเขา หากมีการจารึกระดับนั้นเกิดขึ้นในเมืองพร้อมกับการย้ายไปคฤหาสน์จอมพลของเขา ผู้คนส่วนใหญ่คงสามารถเดาได้ถึงเรื่องของมัน เขาจึงปฏิเสธอย่างสุภาพ

มู่ยี่เองก็ไม่ได้บังคับเขา ในแง่ของความคิดของเขา หลินหมิงมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เขามอบ 9000 เหรียญทองพร้อมกับบัตรสมาชิกสีม่วง ด้วยบัตรใบนี้จะได้ส่วนลด 10% จากร้านค้าที่อยู่ภายในอาณาเขตของเมืองลิขิตฟ้า

ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองเงินมากมายถึง 9000 เหรียญทอง เขามองไปที่จำนวนเงินที่มากมายเหล่านี้ และรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก จนเลือดในร่างกายแทบจะเดือด ด้วยความภาคภูมิใจ!

ด้วยเงิน 9000 เหรียญทอง แม้เขาจะส่ง 3000 เหรียญทองให้พ่อแม่ของเขา เขาก็ยังมีเหลือพอไปซื้อยาโอสถเพื่อให้ง่ายต่อการทะลวงไปสู่ขั้นที่สอง ถ้าเขาได้รับยาโอสถที่มีมีคุณภาพและเพิ่มผลของมันด้วยการจารึกเขาก็สามารถไปถึงขั้นผสานชีพจรได้โดยง่าย

ถึงเวลาที่เขาจะก้าวสู่การฝึกฝนกายภาพอย่างจริงจังเสียที ในอดีตจู้ยันเป็นเหมือนภูเขาที่หลินหมิงแทบจะไม่อาจก้าวข้ามไปได้ แต่ตอนนี้จู้ยันเป็นเพียงหินก้อนเล็กๆบนท้องถนนเท่านั้น หลินหมิงเพียงแค่ต้องใช้เวลาอีกไม่มากเพื่อยกระดับการฝึกฝนของเขาให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านั้น

หลินหมิงอยู่ในอารมณ์มั่งคั่งร่ำรวย เขาใช้ยันต์สื่อสารเพื่อคุยกับหลินเซี่ยวตง "เซี่ยวตง วันนี้ข้าจะพาน้องชายที่น่ารักของข้าไปเที่ยงเลือกซื้อสินค้า ข้าจะพบเจ้าที่ทางเข้าหอร้อยสมบัติ "

หลินเซี่ยวตงได้ช่วยหลินหมิงหลายครั้ง เขาเชื่อมั่นในตัวหลินหมิงอย่างสุดหัวใจ! และตอนนี้ที่สถานการณ์ของหลินหมิงร่ำรวยขึ้น เป็นธรรมดาที่หลินหมิงจะตอบแทบให้เซี่ยวตงกลับ ผู้ชายคนหนึ่งมักจะต้องชำระหนี้บุญ!

"ไปเลือกซื้อสินค้า?" หลังจากที่หลินเซี่ยวตง เห็นยันต์สื่อสาร เขาคิดกับตัวเองว่าพี่ชายของเขาต้องบ้าเอามากๆ ถึงใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อยันต์สื่อสารมาใช้เช่นนี้?