วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 25 สันติภาพของโลกคือหน้าที่ของข้า

...

...

...

หลังจากที่หลินเซี่ยวตงมาถึงหอร้อยสมบัติแล้วเขากล่าว"พี่หลิน พี่ต้องการมาหาซื้อสิ่งใดกัน? พี่ขายจารึกที่เหลือออกหมดแล้วรึ? "

หลินหมิงยิ้มและพูดว่า "ข้าได้โชคดีและได้ขายพวกมันออกไปทั้งหมด"

"ไม่น่าเชื่อ!" หลินเซี่ยวตงร้องออกมา คนโง่ที่ไหนนำมันไปใช้? เขาเป็นกังวลนิดหน่อยและกล่าวว่า "พี่หลินขายมันไปจำนวนมาก ดังนั้นหากมันไม่มีคุณภาพที่สมกับราคาของมัน อาจมีคนเข้ามาหาหาเรื่องเราในอนาคตพวกเขา มันอาจจะทำร้ายพวกเราถึงชีวิต... "

หลินหมิงตะคอกกลับไป "ฮึ! เจ้ายังคิดว่าข้าสร้างจารึกปลอมมาหลอกขายคนอื่นอีกรึ? "

"ข้าไม่ได้หมายความว่าพี่จงใจหลอกลวง ข้าเพียงแค่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจารึกพี่ไม่ได้ทำงานได้ดีเหมือนราคาของมัน มันราคาถึง100เหรียญทอง เมื่อเวลานั้นมาถึงเราอาจจะต้องคืนเงินให้พวกเขา... "

หลินหมิงยิ้มและส่ายหัว "อย่ากังวล ไม่มีปัญหาเช่นนั้นแน่ เตรียมตัวให้พร้อมกับการเลือกซื้อสินค้าที่เจ้าชอบก็พอ "

หลินหมิงบอกว่าพวกเขาจะไปเลือกซื้อขอกันที่หอร้อยสมบัติ ทำให้หลินเซี่ยวตงอึ้งไปในทันที เขาคิดว่าพวกเขาคงทำได้เพียงไปเลือกซื้อสินค้าได้จากย่านกลางเมืองเท่านั้น หรือสถานที่ค้าขายเล็กๆอื่นๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะตรงไปที่หอร้อยสมบัติ สินค้าแทบทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้มีราคาตั้งแต่หลายร้อยไปจนถึงหลายพันเหรียญทอง มันเป็นหนึ่งในร้านค้าที่หรูหราที่สุดในเมืองลิขิตฟ้า

"ท่านพี่ เราจะมาเลือกซื้อสินค้าที่นี่จริงๆรึ?"

" แน่นอน ที่นี่แหละ "หลินหมิงกล่าวตอบในขณะที่เขาเดินเข้าไปในหอร้อยสมบัติ ผู้ดูแลร้านคนนั้นจำหลินหมิงได้ เขายังอยู่ในเสื้อผ้าธรรมดา เป็นหนุ่มสาวรุ่นเยาว์ นี่คือลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนมาก เจ้าของร้านจำได้ว่าหลินหมิงเป็นเด็กที่ได้พยายามที่จะเสนอขายแผ่นจารึกเน่าๆเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ผู้ดูแลร้านใจร้อนขึ้นมาทันทีและตะโกนขึ้นมา"แกอีกแล้ว จะให้ข้าบอกอีกซักกี่ครั้ง ข้าไม่สนใจจารึกเน่าๆของแก "

หลินหมิงรู้ว่าโดยธรรมชาติผู้ดูแลหอร้อยสมบัติไม่เคยปฏิบัติต่อผู้ดูต่อยต่ำด้วยความเคารพ แต่จริงๆแล้วผู้ดูแลก็มิใช่ผู้เป็นเจ้าของ ผู้เป็นเจ้าของจะจ้างผู้ดูแลมาเพื่อทำธุรกิจร้านค้า แน่นอนว่าเงินเดือนของผู้ดูแลจะขึ้นอยู่กับยอดขายของร้าน ผู้ดูแลร้านที่พบกับพวกเด็กข้างถนนก็คงจะทราบดีว่าไม่มีทางที่พวกมันจะจ่ายเพื่อสินค้าในร้านได้ หลินหมิงยังคงดูยากจน

หลินหมิงกล่าวว่า "แผ่นจารึกนั่นข้าได้ขายไปแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อหาซื้อสินค้า"

ขายแล้ว? แววตาเจ้าของผู้ดูแลร้านแสดงให้เห็นถึงการดูถูก ด้วยประสบการณ์ของมันจารึกแบบนั้นต่ำต้อยยิ่งนัก มันคงขายได้ไม่กี่สิบเหรียญทอง คนยากจนก็ยังเป็นคนยากจน เขาคิดว่ามีเพียงไม่กี่สิบเหรียญทองยังต้องการมาหาซื้อสินค้าที่นี่ มันเป็นเรื่องตลก

สิ่งที่เป็นเด็กไร้สาระ ผู้ดูแลอยากจะไล่พวกเขาออกไป แต่ติดก็ตรงที่ว่าหอร้อยสมบัติไม่ได้มีกฎว่าต้อนรับเฉพาะผู้มีเงินเท่านั้น

หลินหมิงมองไปที่ชั้นวางของที่ส่องประกายแพรวพราวที่ถูกวางด้วยวัสดุที่มีค่าและสินค้าหายาก มันน่าตื่นตาตื่นใจที่ได้ชมด้วยสามตา โสมร้อยปีที่หลินเซี่ยวตงเคยซื้อให้เขาเมื่อนานมาแล้ว

นอกจากนี้ยังมีโอสถหายากและจารึกต่างๆที่มีมูลค่าหลักพันเหรียญทอง

หลินหมิงกล่าว "เซี่ยวตงเจ้าอยากได้อะไรไหม?"

หลินเซี่ยวตงฝืนยิ้มและกล่าวว่า "พี่หลินวันนี้พี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมา แม้ว่าเราจะมีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่าย แต่พี่ไม่เห็นกริยาของผู้ดูแลร้านรึ มันทำเหมือนเราเป็นเด็กบ้านนอก มันทำให้ข้าอึดอัด "

หลินหมิงกล่าว "เขาเป็นเพียงคนโง่เขลา ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจคนโง่เช่นนั้น เจ้าไปเลือกสินค้าที่เจ้าอยากจะได้ หากไม่แล้วข้าจะเลือกให้เอง อย่างชุดเกราะหนังนั่นดีมั้ยนะ?

หลินเซี่ยวตงส่ายหัวอย่างหมดปัญญา "พี่หลินอย่าเสียเวลาที่หอร้อยสมบัติแห่งนี้เลย หากเราไม่มีเงินที่จะจ่ายแล้ว หากพวกเขาจะไล่ล่าเรา พี่จะวิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้าที่อ้วนกว่าจะตกอยู่เบื้องหลังและอาจถูกทำร้าย "

หลินหมิงไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาตอบสนองความคิดเหล่านั้น เขาจึงกล่าวว่า "ใช่อย่างที่เจ้าว่า อย่าเสียเวลาเลย?"(ตอนแรกเซี่ยวตงบอกหลินหมิงว่าอย่าเสียเวลามาที่นี่ ประโยคข้างบน)

"เจ้านั่นแหละที่จะเสียเวลา อะไรทำให้เจ้าเอาเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระแบบนั้น? มองที่ข้า พี่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์และจงเชื่อพี่ของเจ้า... "

หลินหมิงหัวเราะและแง้มเสื้อคลุมออกเล็กน้อย ในกระเป๋าหน้าอกของเขามีปึกของธนบัตรสีทอง เขากล่าวขึ้น “นี้ไม่ได้เงินรึ?"



หลินเซี่ยวตงที่เหลือบไปเห็นธนบัตรสีทองจำนวนมากถึงกับตัวแข็งค้างชะงัก กึก ไปในทันที เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเกิดความว่างเปล่าและดวงตาของเขาก็แวววับขึ้นมาทันตา

"แต่ละใบของพวกนั้น มันเป็นธนบัตรที่มีมูลค่า 1,000 เหรียญทอง"

มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นธนบัตร 1,000 เหรียญทอง! นอกจากนี้ด้วยความหน้าของบึกธนบัตรกองนั้นไม่แน่ว่ามันอาจมีมูลค่ารวมกันได้ถึง 10,000 เหรียญทอง!

10,000 เหรียญทอง! มันหมายความว่าอย่างไร ?!!

หลินเซี่ยวตงคิดถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นและในที่สุดก็เกิดสีหน้าแห่งความหวาดกลัวและถามด้วยเสียงต่ำๆ"พี่หลินพี่ไปปล้นใครมา? มันไม่ถูกต้องแม้จะมีศิลปะการต่อสู้แต่เราไม่ควรขโมย... "

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของหลินเซี่ยวตง หน้าผากหลินหมิงก็เต็มไปด้วยรอยหงิกสีดำ น้องของเขานี้มันช่าง เข้าใจอะไรยากเสียเหลือเกิน... เขากล่าวอย่างจนปัญญา"มันเป็นเงินที่ได้มาจากการขายแผ่นจารึกของข้า"

"แผ่นจารึก? พี่บอกว่าเศษกระดาษเน่านั้นเป็นแผ่นจารึก? ขายเท่าไร ... พี่ขายพวกมันแผ่นละเท่าไร? "

"3000 เหรียญทอง"

"3 ............ 3000!?!?!?!?" หลินเสี่ยวตงเริ่มตัวสั่น เขาก็ตกใจอย่างมาก แต่ก็ค่อยๆลดเสียงลง อย่างกลัวว่าคนอื่นได้ยินเสียงของเขา "พี่ขายมันไปในราคา 3000 เหรียญทอง? พี่จะบอกว่าฝึกจารึกเพียงหนึ่งเดือนและสามารถจารึกมูลค่า 3000 เหรียญทองได้รึ? "

หลินหมิงพยักหน้า หลินเซี่ยวตงเป็นเพื่อนน้องชายชายที่ดีกับเขามาก เขาไม่ได้ต้องการที่จะปิดบังความลับใด หากเขาอยากซื้อบางอย่างให้หลินเซี่ยวตงแล้วเขาคงต้องให้เซี่ยวตงเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตเขาจะมีโอกาสที่จะได้ติดต่อกับฉินชิงหวน,มู่ยี่และบุคคลระดับสูงอื่นๆ และมันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดไม่ให้บังหลินเซี่ยวตงรู้อยู่แล้ว

“พี่คิดว่าข้าโง่รึ!" หลินเซี่ยวตงอุทาน "พี่พึ่งเริ่มฝึกได้เพียงหนึ่งเดือน จะสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไร? พี่คิดว่าข้าที่อายุน้อยกว่าเพียงสามปีจะถูกหลอกได้ง่ายๆรึ? "

(ณ ตอนนี้ผู้แปลเริ่มอยากกระโดดถีบขาคู่ใส่เซี่ยวตงจริงๆ แม่งจะเข้าใจอะไรยากจังว่ะ)

หลินหมิงยักไหล่ "ความจริงก็คือความจริง ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าแล้วข้าจะทำไงได้ล่ะ "

"โอ้วท่านพี่ โปรดเลิกล้อข้าเล่นเถอะ บอกเรื่องทั้งหมดกับข้าได้แล้ว"

หลินหมิงถอนหายใจและกล่าวว่า "ก็ได้ข้าจะบอกเจ้า แต่เจ้าต้องสัญญาว่าเจ้าจะไม่บอกใคร "

"ข้าสัญญา!" หลินเซี่ยวตงกล่าวขึ้นมาในทันที

"อืม... ข้ามีความลับจะบอกเจ้า ... .เมื่อข้าอายุสิบสองปี มีปรมาจารย์คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและกล่าวว่าความสามารถของข้านั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ข้ามีสติปัญญาอันชาญฉลาด ท่านผู้นั้นต้องการให้ข้ารักษาสันติภาพของโลก เขาอยากให้ข้ารับหน้าที่นั้นและบังคับให้ข้าไปทำงานเป็นเด็กฝึกงานของเขา ในที่สุดข้าก็ได้เริ่มศึกษาการจารึกจากเขา ... . "

"มันเป็นเช่นนี้นี่เอง!" หลินเซี่ยวตงรู้สึกอึ้งอย่างสุดๆ "พี่หลินมันคือเรื่องจริงใช่ไหม?"

หลินหมิงกล่าว"ข้าไม่เคยโกหกเจ้าอยู่แล้ว ปรมาจารย์ผู้นั้นสอนข้าจริงๆ"

"เคาะมันออกถ้าคุณมีหลักและจารึกศึกษาเป็นเวลาหลายปีแล้วที่คุณไม่ได้ถามฉันว่าทำไมสิ่งที่จารึกเป็นเทคนิค?

หลินหมิงกล่าว "ปรมาจารย์ของข้าเพียงสอนให้ข้าเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้ให้เงินใดๆเลย สำหรับการจารึกแม้ว่าข้าจะเรียนมันมา ข้าก็ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้ จนกระทั่งเจ้าบอกกับข้าในวันนั้น ข้าถึงได้รู้ว่าข้าสามารถใช้มันเพื่อทำกำไรได้ ... "

"ปาฎิหาร!" หลินเซี่ยวตงรู้สึกราวกับว่าโลกได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น อย่างกับลูกแมวน้อยที่เคยเลี้ยงดูมาหลายปีได้กลายเป็นหญิงสาวแสนสวยที่เป็นจักรพรรดิหญิงแห่งโลกปีศาจ เจ้าหญิงในตำนาน!

"โอ้วดี เยี่ยมเลย...ตอนนี้เจ้าเริ่มจะเข้าใจแล้ว เราไปหาซื้อสิ้นค้ากันต่อ"หลินหมิงดึงสติของหลินเซี่ยวตงกลับมาและพาเขาไปดูชุดเกราะหนัง

หลินเซี่ยวตงก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากนัก เขาไม่ชอบที่จะฝึกฝนการต่อสู้ เขาต้องการเพียงรักษาสถานะของเขาให้เป็นผู้สืบเชื้อสายของตระกูลหลินเท่านั้น หลินหมิงคิดว่าเสื้อเกราะหนังจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะกับเขา

"ชุดเกราะหนังตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" หลินหมิงถาม ผู้ดูแลร้านทำหน้าหงุดหงิดมองไปที่หลินหมิงและกล่าวว่า "มันเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงของหอร้อยสมบัติ คำอธิบายอยู่ในป้ายที่อยู่บนโต๊ะ เจ้าไปดูมันเองเถอะ "

คำพูดของเขามีการเยาะเย้ยว่าหลินหมิงเข้ามาในร้านที่มีของราคาแพงและคงไม่มีปัญญาจะซื้อ

ผู้ดูแลร้านคนนั้นทำธุรกิจมานานพอจะรู้ได้ว่าใครมีเงินมากพอจะซื้อสินค้าได้หรือไม่ หากผู้ที่แต่งตัวดีมีฐานะมาเยือนร้านค้าของเขา เขาจะทักทายพวกเขาอย่างยิ้มแย้มและให้ความช่วยเหลือ แต่ผู้ที่ไม่มีเงินเขาจะไม่สนใจ ไม่ต้องพูดถึงหลินหมิงที่ไม่กี่วันก่อนพยายามขายจารึกให้เขา มันไม่ต่างกับแผ่นกระดาษเน่าๆแผ่นหนึ่ง สำหรับเด็กคนนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีเงินทองมากพอจะซื้อสินค้าในร้านได้

หลินหมิงเดินไปที่ชุดเกราะหนังและอ่านคำอธิบาย เกราะหนังนี้ทำจากผ้าไหมเนื้อดีและได้รับการผสมกับรากไม้ทองคำ ถูกสร้างขึ้นโดยวิธีที่รวมยี่สิบหัตถกรรมขั้นสูงเข้าด้วยกัน มีราคา 392 เหรียญ ทอง

ระดับของชุดเกราะหนังชิ้นนี้คือสมบัติระดับดีเยี่ยม มันสามารถทนต่อการโจมตีที่การฝึกฝนขั้นกายภาพขั้นสี่ได้ แต่หลังจากขั้นสี่แล้วมันก็จะถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย หลินหมิงคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่มันจะดีมากสำหรับหลินเซี่ยวตง

ขณะที่เขามองมันอยู่ บางสิ่งบางอย่างได้มาสะดุดสายตาของเขา – มันคือโอสถกวางทอง และยาเม็ดผสานวิญญาณ

ก่อนหน้านี้หลินหมิงไม่เคยได้ใช้ยาโอสถใดๆ เพราะราคาของพวกมันเหล่านั้นสูงเกินไป

โอสถและยาเม็ดทำจากการรวมสมุนไพรและวัตถุดิบจากสัตว์ดุร้ายและปรุงพวกมันอย่างลงตัว มันดีกว่าการใช้เพียงแค่สมุนไพรหรือวัตถุดิบจากสัตว์ดุร้ายเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ด้วยสูตรของมันแม้จะให้ทั้งสมุนไพรและวัตถุดิบจากสัตว์ดุร้ายก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าโอสถและยาเม็ดที่ถูกปรุงด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุด

กวางทองเป็นสัตว์หายากมาก โอสถนั้นทำมาจากตัวอ่อนของกวางทองร้อยปีเป็นส่วนผสมหลักและเสริมด้วยสมุนไพร กวางทองเป็นสัตว์หายากอย่างยิ่งนอกจากนี้ยังพบมันเพียงในภูเขาลึกที่ห่างไกล มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล่าตัวอ่อนกวางทองมาได้

เพราะยากวางทองถูกกลั่นจากตัวอ่อนกวางทองที่อุดมไปด้วยพลังและมีกลิ่นหอม นอกจากนี้พวกมันไม่ได้รับการปนเปื้อนจากอากาศที่สกปรกแบบปราณฟ้าขั้นต้นจากภายนอกมดลูก ดังนั้นพวกมันจึงช่วยขจัดสิ่งสกปรกภายในร่างกายและส่งเสริมระดับแรงดันจิตวิญญาณและการฝึกฝนกายภาพ

ยากวางทองนี้มีสีเหลืองขนาดเท่าเม็ดข้าว มูลค่า 200 ทอง

ยาเม็ดผสานวิญญาณ มันจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่มีค่าในการปรุงมัน ส่วนผสมหลักคือเชื้อราเลือดร้อยปี มีความสามารถเพิ่มการดูดซับแรงดันจิตวิญญาณและเร่งความเร็วในการฝึกฝนกายภาพ

ยาเม็ดนี้ก็มีราคา 200 เหรียญทอง ลูกหลานของชนชั้นสูงและตระกูลที่มีฐานะมักจะซื้อมัน

หลินหมิงหยุดมองและตัดสินใจที่จะซื้อ

เขาหันไปที่ผู้ดูแลร้านและกล่าวว่า "ข้าเอาเกราะหนังรากไม้ทองคำ ห่อมันให้ข้าด้วย และข้ายังต้องการโอสถกวางทอง6ชิ้นและยาเม็ดผสานวิญญาณอีก10เม็ด ทุกสิ่งที่ข้าได้กล่าวไปห้ามขาดแม้เพียงเล็กน้อย”



หลินหมิงกล่าวในขณะที่ดึงกระดาษออกมาเขียนรายการของวัสดุมากมายที่ต้องใช้ในการจารึก เขาสังเกตสินค้าของที่นี้ มันมีทุกอย่างที่เขาต้องการ เขาสามารถซื้อทุกอย่างได้ที่นี่