วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559



บทที่ 27 การทดสอบ!


หลินหมิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของการฝึกฝนกายภาพขั้นแรกและอีกเพียงขั้นตอนเล็กๆก็จะสามารถก้าวไปสู่ขั้นที่สองได้ แม้จะไม่มีโอสถกวางทองก็คงจะใช้เวลาอีกไม่กี่วันเขาก็จะไปถึงขั้นที่สอง!!

การฝึกฝนขั้นแรกคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การฝึกความแข็งแก่รงที่เป็นปัจจัยที่แท้จริงส่วนใหญ่ก็คือพละกำลังของกล้ามเนื้อและในขั้นที่สองจะเป็นการแพร่กระจายความแข็งแกร่งไปทั่วร่างกาย ไม่เพียงแต่จะเพิ่มพละกำลัง ทั้งความคงทนของร่างกายก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นอยู่ยงคงกระพัน แต่ก็บอกได้ว่าแม้แต่ดาบก็ยากที่จะแทงทะลุร่างกายได้ และมีอาการบาดเจ็บที่ลดลง ประสิทธิผลการต่อสู้โดยรวมก็จะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามจู้ยันเองก็พึ่งไปได้ถึงแค่จุดสูงสุดของขั้นที่สามในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ตัวเขาพึ่งมาถึงขั้นที่สองพร้อมด้วยวรยุทธ'ปฐมโกลาหล' แต่เมื่อเทียบกับจู้ยันแล้วก็ยังมีเพียงความห่างชั้นที่มากเกินไประหว่างพวกเขา เมื่อจู้ยันได้รับการฝึกอบรมอีกครึ่งปี เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ระดับสี่เช่นมัน คงจะมีความเร็วในการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วในทำนองเดียวกัน

แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้นอนเลย หลินหมิงยังรู้สึกสดชื่นและไม่เหนื่อยหรืออ่อนล้าแม้แต่น้อย เขารีบวิ่งออกไปและมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาโจว

ศาลาจันทร์กระจ่างอยู่ห่างออกไปไม่กี่ไมล์จากสถานที่ที่หลินหมิงมักจะไปฝึกฝน หากวิ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ก็ใช้เวลาเพียงธูปหนึ่งก้านไหม้หมดเท่านั้น แต่วันนี้เขาจะได้เริ่มการฝึกฝนกายภาพเพื่อไปสู้ขั้นที่สอง หลินหมิงจึงมีความสุขเป็นพิเศษในเวลานี้

หลังจากที่เขาไปถึงสถานที่ที่เขาฝึกฝนเป็นประจำ หลินหมิงโยนเป้ของเขาลงกับพื้นดิน มันมีวัสดุสำหรับปรุงยาและผ้าพันแผล ยานี้มันมีราคาไม่ใช่น้อยๆ ของพวกนั้นทั้งหมดเป็นยาที่หายากและมีค่า แม้แต่ผ้าพันแผลเองมันได้ซึมซับน้ำหญ้ากระดูกดำเอาไว้ ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติ เปรียบได้กับสมุนไพรชั้นเลิศ ด้วยสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ได้มีความกังวลที่จะบาดเจ็บเลย หลินหมิงสามารถเพลิดเพลินไปกับการฝึกได้มากเท่าที่หัวใจของเขาต้องการ

หลินหมิงกินยาเม็ดผสานวิญญาณเพื่อเพิ่มอัตราการดูดซับพลังปราณ หลินหมิงเริ่มฝึกฝน 'ปฐมโกลาหล' ซึ่งเป็นวรยุทธขั้นที่หนึ่งของ 'จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล’

ทวีปนภารินไหล ผู้ที่มีพละกำลัง 1000 จิ๋น ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จเพียงเล็กๆน้อยๆ หากสามารถก้าวไปถึงขั้นที่ห้า ขั้นดัดกระดูก หรือ ขั้นที่หก ขั้นผสานชีพจร เมื่อถึงเวลานั้นเหล่านักสู้จะมีพละกำลังมากถึง 8000 จิ๋น และหากเป็นผู้ที่พรสวรรค์ที่ล้ำเลิศเป็นไปได้ว่าเขาผู้นั้นสามารถแสดงพละกำลังขนาด 10,000 จิ๋นออกมาก็เป็นได้

มันคือขีดจำกัด โดยทั่วไปสำหรับคนส่วนใหญ่และปรมาจารย์ทั้งหลายเมื่อมาถึงระดับปราณฟ้าขั้นต้นพวกเขาก็จะถึงทางตัน ความแข็งแกร่งของพวกเขายากยิ่งนักที่จะสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก พวกเขาทำได้เพียงเพิ่มพลังปราณให้มากขึ้นเท่านั้น

แต่หากเกิดปาฏิหาริย์ ผู้ใดที่สามารถเข้าไปสู่ระดับปราณปลายฟ้าได้ พวกเขาจะเข้าใจถึงพลังปราณและพลังแห่งจิตวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่แท้จริงของเหล่านักสู้

แต่ที่ถูกบันทึกไว้ใน 'จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล'ผู้มีพละกำลัง 1000 จิ๋นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆเท่านั้น ผู้ที่ฝึกมันแล้วจะมีพละกำลังถึง 10,000 จิ๋น และคนส่วนเล็กๆที่เข้าใจทังหมดของมันได้อย่างถ่องแท้และประสบความสำเร็จ จะมีพละกำลังถึง 100,000 จิ๋น ในฐานะที่เป็นจุดสูงสุดของพลังที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาต่อกรได้ หากพวกเขาสามารถเปิดแปดประตูสวรรค์เก้าดวงดาวได้แล้ว คนๆนั้นสามารถยืมพลังจากสวรรค์และแผ่นดินได้ การก้าวเดินของพวกเขาสามารถทลายได้กระทั่งภูเขา หมัดของพวกเขาจะทำให้ทั่วทั้งโลกปั่นป่วน เป็นพลังที่ไม่อาจจะบรรยายได้ด้วยวาจา ผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ต้องมีพละกำลังเกินกว่า 1,000,000 จิ๋นเป็นแน่

เมื่อหลินหมิงเห็นมันในความทรงจำของเขา เขาแทบจะไม่เชื่อความทรงจำของตัวเอง แต่ยังไงซะนี้ก็เป็นมรดกที่ตกทอดมาหลายพันปีจากดินแดนพระเจ้า

แต่ด้วยพละกำลังแตกต่างกันกว่าพันเท่า มันก็อาจจะดูเหลือเชื่อเกินไป แต่เมื่อเขาสำรวจความทรงจำนั้นให้ละเอียด ทำให้เขาได้ทราบว่าเพียงคนเร่ร่อนและเด็กตัวเล็กๆที่วิ่งเล่นกันอยู่ พวกเขาเหล่านั้นมีพละกำลังหลายพันจิ๋น สำหรับลูกศิษย์ในสำนักแล้ว หากพวกเขาจะมีพละกำลัง ระดับ 100,000 จิ๋นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อที่แห่งนั้นคือดินแดนแห่งพระเจ้า

ความทรงจำนี้มีรายละเอียดมากมายทำให้หลินหมิงเชื่อว่า แม้จะเป็นจอมพลฉินเสี่ยวก็ไม่อาจเทียบได้กับคนเร่ร่อนหรือเด็กตัวเล็กๆในดินแดนพระเจ้าด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามการเรียงลำดับของความแข็งแกร่งเหล่านี้ยังห่างไกลจากหลินหมิงมากนักเพราะถ้าจะบอกว่าขั้นดัดกระดูกไปสู่ขั้นผสานชีพจรเป็นเรื่องยากแล้ว ขั้นดัดที่จะมีการเปิดแปดประตูสวรรค์เก้าดวงดาวก็คงเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก นับประสาอะไรกับหลินหมิง จากความทรงจำของเขา เขารู้ว่ามีลูกศิษย์จำนวนมากที่ไม่สามารถทำมันได้ เมื่อเทียบกับบุคคลในอาณาจักรลิขิตฟ้าแล้วมันยากยิ่งกว่าการก้าวจากปราณฟ้าขึ้นต้นไปปราณปลายฟ้าเสียอีก

หลินหมิงคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้และหายใจเข้าลึกๆ มันยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาเรื่องเหล่านั้น สิ่งที่เขาควรจะทำได้ในตอนนี้ก็คือฝึกพื้นฐานของ‘จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล’ และอย่างน้อยก็ต้องบรรลุขั้นตอน 'ไหลลื่นดุจแพรไหม' ให้ได้เสียก่อน

'ไหลลื่นดุจแพรไหม' เป็นวิชาที่สามารถโจมตีต้นไม้ด้วยหมัดมันทำให้เนื้อเยื่อภายในเสียหายรุนแรงโดยที่เปลือกภายนอกไม่เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ

แต่ความทรงจำของผู้เฒ่านั้นออกจะเลือนรางไปบ้าง หลินหมิงจึงยังไม่เข้าถึงขั้นตอนนี้และทำได้เพียงพยายามที่จะค้นหาส่วนที่ยังไม่ชัดเจนของมัน เหมือนชิ้นส่วนจิกซอที่ขาดหายไป

ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลิขิตฟ้า มีทีมกองกำลังทหารติดอาวุธที่ยืนอยู่อย่างระมัดระวัง หนุ่มนักรบชุดผ้าไหมที่มีดาบยาวคาดไว้ที่เอวของเขา ยืนอยู่บนทางเดินและมองไปรอบๆ ราวกับว่าเขากำลังรอใครซักคนอยู่

ทันทีที่เวลาธูปไหม้หมดก้านผ่านไปชายหนุ่มอีกคนที่สวมหมวกและชุดเกราะ ค่อยๆเดินลงมาในห้องโถง ดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุยี่สิบปีกว่าๆ แม้ว่าความรูปลักษณ์ของเขาจะไม่เหมือนกับเจ้าชายนัก แต่การเดินและลมหายใจที่สงบนั้น เขาดูเหมือนจะเป็นปรมาจารย์ซะมากกว่า

เมื่อชายหนุ่มชุดผ้าไหม ได้เห็นชายคนนี้ก็ยิ้มอย่างมีความสุข และกล่าวต้อนรับต้อนรับเขา "กลับมาแล้วรึท่านพี่ ท่านพ่อจะต้องดีใจกับความสำเร็จของท่านพี่แน่ๆ "

ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมยิ้ม เขาเป็นคนที่ต้องเสียเงินถึง 1000 เหรียญทองและได้รับเพียงความอับอายกลับ เขาคือ หวังยี่เกา

ในตอนนี้หวังยี่เกาดีใจมาก แม้ว่าเขาจะพยายามปิดเรื่องนั้นเอาไว้เป็นความลับ และป้องกันมิให้ข่าวการพ่ายแพ้เสียเงินแพร่กระจายออกไป แต่พ่อของเขาก็ยังรู้เรื่อง ซึ่งทำให้พ่อเขานั้นโกรธเคืองอย่างมาก

พ่อของเขาไม่ได้โกรธในเรื่องที่หวังยี่เกาเสียเดิมพัน แต่โกรธตรงที่เขาพ่ายแพ้ให้กับหนุ่มที่มีการฝึกฝนกายภาพขั้นที่หนึ่งและยังได้เสียชื่ออับอายกลับมาอีก มันจึงถือเป็นความอับอายของตระกูลที่อาจจะโดนดูถูกเยาะเย้ยจากตระกูลอื่นๆ

หวังจูซู้ออกคำสั่งให้กักบริเวณเขาเป็นเวลาสองเดือนและเขาก็พึ่งได้ออกมาในวันนี้

การถูกกักบริเวณเป็นเวลาสองเดือน สร้างความยากลำบากให้แก่หวังยี่เกา เป็นอย่างมาก นอกจากจะไม่ได้รับประทานอาหารดีๆแล้ว ยังไร้ผู้หญิงคอยบำเรอ หรือแม้กระทั่งพาลูกน้องไปเที่ยวข่มขวัญชาวบ้านก็ไม่ได้ แถมยังต้องมาทนนั่งเรียนเรื่องการทหารและทำการบ้านของทางสำนักอีก

หวังยี่เกาเกลียดสิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าอะไรที่เขาเคยได้พบเจอมาเสียอีกและทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะ หลินหมิง มันทำให้เขาไม่อาจจะยอมรับความเจ็บปวดและความอับอายในครั้งนี้ได้

แต่หวังยี่เกาก็ยังไร้หนทางที่จะจัดการกับหลินหมิง เขาไม่มีลูกน้องที่มีพละกำลังมากพอที่จะสู้หลินหมิงได้ ยิ่งสู้ด้วยตัวเขาเองแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง และเหล่าเพื่อนๆของเขาเองที่นักเลงอันธพาลก็เทียบพลังของหลินหมิงไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังโดนพ่อลดเงินที่ให้เป็นค่าใช่จ่ายอีกต่างหาก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปจ้างวานให้ใครมาช่วย เขาจนปัญญาที่จะแก้แค้นหลินหมิง ทำได้เพียงเก็บความขมขื่นที่ผ่านมาเอาไว้

จนกระทั่งมาถึงวันนี้ วันที่พี่ชายของเขากลับมาหวังยี่เกาดีใจจนแทบหลั่งน้ำตา ในที่สุดโอกาสที่จะชำระแค้นให้กับความข่มขื่นที่เขาต้องทนแบกรับมาตลอดก็มาถึงเสียที ดั้งนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอท่านพี่ของเข้ากลับมา พร้อมการต้อนรับอย่างดี

หวังยี่หมิง มองไปยังน้องชายที่น่าสงสาร พวกเขาทั้งสองล้วนแล้วเป็นลูกของคนตระกูลหลัก และยังมีพ่อแม่คนเดียวกันอีกด้วย พี่ชายจึงเข้าใจความเจ็บปวดของน้องชายได้ในทันทีแต่ด้วยความมีเหตุผลแล้วเขาจึงกล่าว “เจ้ารอข้ามาจนถึงวันนี้เพื่อที่จะเล่าเรื่องที่เจ้าไปสร้างความอับอายให้กับตระกูลรึ?”มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านพ่อจะลงโทษเจ้า

หวังยี่เกามองไปที่พี่ชายของเขาด้วยแววตาอันน่าสงสาร“ท่านพี่ข้าเองก็เข้าใจที่ท่านพ่อลงโทษข้า แต่เจ้านรกที่มาลังแกข้ามันหยิ่งยะโสโอหังเกินไป มันทำร้ายลูกน้องของข้าและยังโกงการเดิมพันอีก ถือเป็นการดูหมิ่นเกียรติตระกูลของเราอย่างมาก ”

หวังยี่หมิงได้ฟังก็รู้ได้ว่าไอ้น้องชายตัวแสบพยายามกุเรื่องไร้เหตุผลขึ้นมาอธิบาย เขาตัดบทอย่างหมดความอดทน”แกคิดว่าข้าจะไม่รู้รึว่าแกนายต้องการอะไร แกต้องการให้ข้าไปล้างแค้นให้นายสินะ”

“พี่ชาย ท่านพี่เป็นถึงยอดฝีมือ ไม่มีผู้ได้อาจต่อกรท่านได้ การไปจัดการเจ้าเด็กเลวนั่นก็เหมือนกับแค่กระดิกนิ้วเท่านั้นเอง”

หวังยี่หมิงกล่าว “ข้าเป็นถึงท่านแม่ทัพที่มีชื่อเสียงใหญ่โต แต่แกกลับต้องการให้ข้าช่วยกำจัดเด็กที่มีการฝึกฝนกายภาพเพียงขั้นหนึ่ง ตลกซะจริง ฮ่าๆ”

หวังยี่เกายิ้มเล็กน้อย “ก็เป็นเช่นนั้นจริง มันอาจจะเกินเลยไปหน่อย คงไม่จำเป็นต้องถึงขนาดที่เราจะขี่ช้างจับตั๊กแตน แต่ท่านพี่ ท่านมีพลทหารที่แข็งแกร่งถึงสี่คนไม่ใช่รึ ให้พวกเขาช่วยข้าได้หรือไม่”

“ท่านพ่อของเราก็เป็นถึง ผู้นำกองกำลังทหารนักรบแห่งเมืองลิขิตฟ้า บัลลังก็ใกล้จะถูกส่งต่ออยู่แล้ว ช่วงเวลานี้ถือเป็นเวลาที่มีความเสี่ยงสูงมาก เจ้าต้องการให้ข้าใช้ทหารของข้าในการแก้แค้นเรื่องไร้สาระให้เจ้าเนี่ยนะ เพื่อแก้ไขในการกระทำการอันโง่เขล่าเบาปัญญาของเจ้าน่ะรึ แล้วเจ้าคิดว่ามันจะเป็นเช่นไรต่อไป ข้าคิดว่าโดนกักบริเวณเพียงสองเดือนคงไม่พอสำหรับเจ้า” หวังยี่หมิงตะโกนใส่น้องชายและเดินจากไป

หวังยี่เกาถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหลือเพียงความคับแค้นใจที่อยู่เคียงข้างกับเขา เขานึกมาก่อนเลยว่าแม้แต่ท่านพี่ของเขาก็จะตำหนิติเตียนเขาเช่นนี้ เขากำหมัดและกัดฟันจนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น “เหี้xเอ้ย ข้าไม่เคยรู้สึกถึงความทรมานน่าเวทน่าเช่นนี้มาก่อน แก ไอ้ชาติชั่วหลินหมิง ถ้าข้าทำให้แกพิการไม่ได้ก็อย่ามาเรียกข้าว่าคนตระกูลหวังเลย”







พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกลงทางทิศตะวันตก ห้าสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว…

ณ ภูเขาโจว เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังฝึกซ้อมการต่อสู่อยู่บนที่ราบโล่งของป่า ลมภูเขาพัดเสียดสีกิ่งไม้และใบไม้ให้เกิดเสียงดังที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของเขตป่าไม้ แต่เสียงหมัดของเด็กหนุ่มกลับบดบังเสียงของสายลมได้อย่างสิ้นเชิง
“ปึงง!!!”

ทันทีที่เด็กหนุ่มคนนั้นชกไปที่ต้นไม้เบื้องหน้าของเขา เสียงแตกดังสนั่นหวั่นไหวก้องกังวาลไปทั่วทั้งป่า ถึงแม้ว่าต้นไม้นี้จะมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของความทนทานและความแข็งแกร่ง แต่มันก็หักสะบั่นภายในหมัดเดียวของชายหนุ่ม

เมื่อได้ปล่อยหมัดออกไป ในขณะที่ฝุ่นยังไม่ทันตกถึงพื้นด้วยซ้ำ เขาตวัดขาไปที่ท่อนล่างของต้นไม้และได้แยกมันออกเป็นอีกสองส่วน

ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ถึงเคล็ดของ 'ไหลลื่นดุจแพรไหม' แต่เขาก็ได้ก้าวผ่าน ‘ปฐมโกลาหล’ และเข้าสู่การฝึกฝนกายภาพขั้นที่สองที่มีความแข็งแกร่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนี้พลังของเขาก็คงจะอยู่ราวๆ 2600 จิ๋น ชายหนุ่มที่ว่านี่ก็คือ หลินหมิง ในห้าวันที่ผ่านมา เขาได้ฝึกอย่างไม่หลับไม่นอนที่เขาแห่งนี้ เขามียามากมายที่ประเมินค่ามิได้และยังมียาเม็ดผสานวิญญาณอีกกว่ายี่สิบเม็ด ด้วยจำนวนเงินที่มากขนาดนั้น หลินหมิงจ่ายด้วยผลงานจารึกเพื่อซื้อพวกมัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมียามากมายขนาดนั้น หลินหมิงก็ยังไม่สามารถไปถึงการฝึกฝนกายภาพขั้นที่สามได้ การฝึกอวัยวะภายใน เขาพยายามใช้ความรู้จากวรยุทธ ‘จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล’ เพ่งสมาธิไปยังการสร้างรูปลักษณ์ขึ้นมา ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น

“นี่มันก็ห้าวันแล้ว พรุ่งนี้ก็จะถึงการสอบเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ซะที เข้น่าจะผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย” หลินหมิงพูดขณะหยิบเสื้อที่วางบนโขดหินก้อใหญ่ แล้วตรงไปที่แม่น้ำ

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง กล้ามเนื้อของหลินหมิงจับตัวกันอย่างได้สัดส่วน แสงที่สาดลงมาที่ผิวของเขาส่องสว่างเป็นประกายและถูกเติมเต็มด้วยความแข็งแกร่งที่งดงาม เขาเหมือนดั่งพยัคฆ์ที่พลิ้วไหวด้วยพลังอันสูงส่งของเขา แค่มองจากด้านหลังมันยากที่จะเชื่อว่านี่เป็นรูปร่างและจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มอายุ15ปี


หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว หลินหมิงเก็บข้าวของและไปจากภูเขาลูกนั้น เขาพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วดุจเหยี่ยวที่กำลังไล่ล่ากระต่าย ความเร็วของเขาเปรียบดั่งความเร็วแสง เขาหายเข้าไปในป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลภายในไม่กี่อึดใจ