วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

MW#28
ในทุกๆปี ณ เวลาช่วงเริ่มต้องของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ สำนักเจ็ดแก่นแท้จะมีการรับสมัครทดสอบบุคคลผู้มีความสามารถเข้ามาเป็นศิษย์ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญของพวกหนุ่มๆที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรลิขิตฟ้า ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้ที่มีความใฝ่ฝันในการต่อสู้แล้ว พวกเขาไม่มีทางลืมวันนี้อย่างแน่นอน 

สำหรับพวกเขาแล้วสำนักเจ็ดแก่นแท้ เปรียบเสมือนเป้าหมายสูงสุด หากพวกเขาทำได้สำเร็จ พวกเขาก็เหมือนดั่งมังกรที่ทะยานขึ้นไปท่ามกลางท้องนภาเปล่งประกายเจิดจรัสมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว

โดยสาเหตุหลักๆที่ผู้คนต้องการจะเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้นั่นก็คือวรยุทธซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับการต่อสู้ มันจะตกทอดลงมารุ่นสู่รุ่นเป็นดั่งมรดกที่ล้ำค่า นักสู้ทุกคนต่างต้องการที่จะเรียนรู้และฝึกฝนมัน 

และแต่ละครั้งที่สืบทอดมานั้น มันก็ถูกสั่งสมประสิทธิภาพมากขึ้นๆตลอดเวลา เนื้อหาภายในล้วนแล้วแต่เป็นจุดสูงสุดของเคล็ดวิชาทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนั้นจะทำให้พวกเขามีพลังมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดและเอาชนะศิษย์พี่จากสำนักอื่นได้อย่างง่ายดาย แต่หากว่าใครซักคนจะพยายามที่จะเรียนเคล็ดวิชาเหล่านั้นด้วยตัวเองแล้วละก็ คงไม่ต่างจากคนโง่ๆคนหนึ่งที่พยายามงมเข็มในมหาสมุทร

แม้ว่าวรยุทธทั่วๆไปก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถพัฒนาการต่อสู่ได้ แต่ถ้าจะให้ดีเลิศที่สุดก็ต้องเป็นวรยุทธที่ถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนานจากสำนัก

ซึ่งวรยุทรเหล่านั้นก็ถูกเก็บรักษาอย่างเคร่งครัดโดยแต่ละสำนัก ถ้าพวกเขาค้นพบว่ามีลูกศิษย์คนใดนำมันไปเผยแพร่แล้วละก็ โทษอย่างเบาที่สุดที่ลูกศิษย์คนนั้นจะได้รับคือการถูกทำลายการฝึกฝนที่มีมาทั้งหมดจากภายใน และโทษสถานหนักก็คงเป็นการประหารชีวิตในทันที

มันเป็นเรื่องยากที่จะส่งต่อวรยุทธเคล็ดวิชาต่างๆ และมันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากที่จะพยายามคัดลอกตำราที่ว่าขึ้นมา เคล็ดวิชาส่วนใหญ่จะมีความลึกลับและการเข้าใจที่ยากอย่างสุดซึ้ง การไหลเวียนของพลังและความรู้สึกต่างๆ หนทางแห่งการปลูกฝังพลังแต่ละขั้นตอน สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้

วรยุทธส่วนใหญ่มักจะถูกบันทึกลงในแผ่นหยก ซึ่งในหยกแผ่นเล็กๆก็จะบันทึกเกี่ยวกับข้อมูลลับอัดแน่นเอาไว้ แม้กระนั้นตำรานี้ก็ทำได้เพียงอธิบายเท่านั้น ถ้าจะมีใครซักคนที่ต้องการสำเร็จวรยุทธนั้นแล้ว เขาผู้นั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจตำราวรยุทธนั้นอย่างถ่องแท้ ซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะทำได้ และนอกจากนั้นยังต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ 

แม้ว่าจะเข้าใจในสิ่งที่บันทึกลงในตำราวรยุทธแล้ว ทว่าในตำราวรยุทธเหล่านั้นก็มีความลับซ่อนอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถเข้าใจได้หมด ซึ่งมันก็เหมือนกับผ้าขี้ริ้วห่อทอง ที่หากไม่เข้าใจและไม่รู้ความรับของมัน สมบัติเหล่านั้นก็เป็นแค่เพียงกระดาษชำระแผ่นหนึ่ง

ด้วยเหตุนั้นแผ่นหยกวรยุทธที่สืบทอดต่อๆกันมาจึงเหลืออยู่น้อยมาก และไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง นี่ก็ถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่เหล่านักสู้หนุ่มๆทั้งหลายกลายเป็นบ้าเพราะความต้องการที่จะเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ เงื่อนไขที่จะผ่านเข้าไปก็นับว่า โหดหินสุดๆ และทุกๆปี ผู้คนจำนวนมากต่างก็ไม่ผ่านเงื่อนไขมากมายเหล่านั้น 

หลินหมิงในตอนนี้เขามีมรดกวรยุทธที่ล้ำค่ายิ่งว่านั้นเสียอีก ด้วยวรยุทธ“จุดสูงสุดแห่งความกาหล”ของเขา เขาจึงไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับตำราวรยุทธของสำนักเจ็ดแก่นแท้มากนัก เหตุผลที่ทำให้เขาอยากจะเข้าสำนักก็ไม่ใช่เพราะหลานยุยเยี่ย หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อก้าวไปสู่จุดยอดของการต่อสู้ หลายยุยเยี่ยก็ไม่มีความสำคัญใดใดกับจิตใจเขาอีกต่อไป

สาเหตุที่หลินหมิงต้องการที่จะเข้าสู่สำนักเจ็ดแก่นแท้ มิใช่เพื่อต้องการเคล็ดวิชามรดกวรยุทธหรือยาโอสถสมุนไพรใดๆ แต่เขาต้องการสถานที่ที่พิเศษสำหรับฝึกซ้อมเพียงเท่านั้น สถานที่ดังกล่าวที่สร้างขึ้นจากวัสดุ มีสภาพแวดล้อมพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสปราณปรายฟ้า สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ที่ได้มาฝึกในที่แห่งนี้ได้ผลลัพธ์จากการฝึกเป็นสองเท่า และใช้พลังในการฝึกฝนเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือทักษะการต่อสู้ ทักษะดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญเพราะมันจะแสดงพลังของคนๆนั้นออกมาได้

(อธิบายนะครับ เผื่อใครไม่เข้าใจ วรยุทธ์ก็เหมือนเลเวลยิ่งฝึกยิ่งมีพละกำลังต่างมากขึ้น ส่วนทักษะก็เหมือนสกิลหากมีทักษะกระบวนท่าที่เยี่ยมยอดแล้วก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ เช่นไท้เฟิงที่ใช้ทักษะจากจารึกของหลินหมิง)

หลินหมิงก็รู้เกี่ยวกับสิ่งพวกนั้นมาบ้างจากความทรงจำของผู้อาวุโสที่เข้าได้ดูดซับมา ในทั้งหมดนั้นเขาได้เห็นทักษะต่างๆมากมายสามถึงสี่แบบ แต่พวกมันก็ยังไม่ครบสมบูรณ์ แต่ในความจริงแล้วแม้พวกมันจะยังไม่สมบูรณ์ก็มันก็ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าทักษะใดใดในอาณาจักรลิขิตฟ้าอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งก็น่าเสียดายที่ สามในสี่ทักษะที่หลินหมิงได้เห็นมา มันเป็นทักษะของผู้มีระดับปราณปลายฟ้า ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฝึกฝนมัน เขาก็จำเป็นต้องไปให้ถึงระดับปราณปลายฟ้าเสียก่อน ในความทรงจำเหล่านั้นแม้แต่ทักษะที่ดูจะอ่อนแอที่สุดก็ยังสามารถถล่มทลายภูเขาทั้งลูกทิ้งไปได้ด้วยการทุบเพียงครั้งเดียวไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย เป็นเรื่องซะด้วยซ้ำที่จะทำลายทั้งเมืองลิขิตฟ้าทั้งเมือง

แต่ถ้อยคำที่อยู่ในความทรงจำของเขาก็ไม่ต่างจากภาษาต่างแดน มันยากที่จะเข้าใจความหมาย 

หลินหมิงจึงต้องการผ่านการทดสอบของสำนักเจ็ดแก่นแท้และเขาต้องบรรลุถึงผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทุกๆปี ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของการทดสอบมักจะได้รางวัลอันยิ่งใหญ่เสมอ

บางทีอาจจะเป็นยาโอสถที่ล้ำค่าหรือสมบัติชั้นเลิศที่มิอาจประเมินค่าได้ เพราะยาโอสถเหล่านี้จะถูกผลิตโดยสำนักเจ็ดแก่นแท้ แม้แต่คนจากตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในอาณาจักรก็ไม่สามารถจะซื้อมันได้

แม้แต่ลูกขุนนางชั้นสูงก็ยังต้องน้ำลายไหลด้วยความอิจฉาเมื่อได้เห็นของรางวัลเหล่านี้ ซึ่งแม้แต่หลินหมิงเองก็ยังถูกยั่วยวนด้วยของพรรคนี้เหมือนกัน ซึ่งแต่ก่อนพลังของเขาน้อยกว่านี้เพราะเขาไม่ได้สนใจมันนัก แต่ตอนนี้มันทำให้เขากระหายที่จะครอบครองพวกมันเป็นอย่างมาก

ในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ สนามกลางแจ้งของสำนักลิขิตฟ้าเต็มไปด้วยฝูงชนที่เบียดเสียดแน่นอยู่ภายใน เพราะมีผู้มาลงสมัครมากเกินไป ซึ่งการสอบจะเริ่มขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและจะดำเนินไปตลอดทั้งวัน

หลินหมิงและหลินเซี่ยวตงยังไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยฝูงชนเหล่านั้น พวกเขาทั้งสองเพียงอยู่รอบๆสำนักลิขิตฟ้าเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปด้านใน แต่พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงดังออกมาอย่างวุ่นวายเต็มไปหมด

“พวกเขาพูดกันว่าจะมีบุคคลชนชั้นสูงมาด้วยมากมาย รวมถึงหวังยานเฟิง ด้วยอายุเพียง 15 ปี และพรสวรรค์ระดับสี่ ทำสามารถไปถึงการฝึกฝนกายภาพขึ้นที่สามได้ ช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรเช่น”

“มันไม่แปลกไปหน่อยรึ ทำไมเขาไม่สอบเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ตั้งแต่การสอบครั้งที่แล้ว ทำไมเขาไม่มาสอบเข้าตั้งแต่การคัดเลือกเมื่อฤดูใบไม้ผลิกันล่ะ”

“ข้าว่าเป้าหมายของเขาคงจะเป็น นิกายสวรรค์ ทันทีที่เขาเข้ามาที่สำนักเจ็ดแก่นแท้เขาก็ต้องการที่จะเข้าร่วมนิกายสวรรค์ ช่างเป็นคนที่อุกอาจยิ่งนัก” 

“เอ่อ...แต่ว่านิกายสวรรค์ก็ถือเป็นนิกายที่เข้าร่วมได้ยากยิ่งนัก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ที่เข้าร่วมกับนิกายสวรรค์ได้มีเพียง แต่ ฉินชิงหวนเท่านั้น ขั้นต่ำที่จะสามารถเข้าไปได้จะต้องมีการฝึกฝนถึงจุดสูงสุดของการฝึกฝนกายภาพขั้นที่สาม ทั้งพวกที่อยู่ในนิกายสวรรค์ก็เป็นพวกมีการฝึกฝนกายภาพขั้นที่สี่ แม้แต่หวังยานเฟิงก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าร่วมได้ ข้าคิดว่าเขาแค่มาเพื่อเอารางวัลจากการทดสอบเท่านั้น”

นิกายสวรรค์อย่างนั้นรึ!!!

หลินหมิงพึมพำในใจ เมื่อครึ่งปีที่แล้วจู้ยันพึ่งไปถึงจุดสูงสุดของขั้นที่สามเพื่อที่จะเข้าร่วมกับนิกายสวรรค์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของเขาโดดเด่นขนาดไหนในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวังยี่เกาเลย มันเป็นเพียงคนตระกูลชั้นสูงที่ไม่ฝึกฝนและไร้ความสามารถ

ขณะที่ลินหมิงกำลังคิดอย่างเหม่อลอย เขาก็รู้สึกได้ว่ามีใครกำลังจ้องมองเขาอยู่ 

ในฝูงชนขนาดใหญ่ มีจำนวนหลายคนที่มองมาที่เขาก็จริง แต่เขารู้ว่าคนเหล่านี้มองมาอย่างไม่ได้เจตนา แต่หลินหมิงที่ได้ฝึกฝน “ปฐมโกลาหล” มาก่อน ทำให้เขามีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีคนมองมาที่เขามากมายแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่เย็นชาคู่นึงที่กำลังจ้องมองดูเขาอยู่

เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องขณะที่หันหน้าไปดู เขาเห็นรถม้าสีฟ้ากำลังเคลื่อนตัวเข้ามา แต่เมื่อเขาหันไปม่านรถม้านั่นก็ปิดสนิทเสียแล้ว

หลินหมิงถอนหายใจ เขายังไม่แม้แต่จะได้เริ่มการทดสอบคัดเลือกเลย ก็มีคนว่างแผนจะกำจัดเขาซะแล้วอย่างนั้นรึ

ในเวลาเดียวกันภายในรถม้าดังกล่าว มีหนุ่มในชุดผ้าไหมและคนที่มีท่าทางมืดมนนั่งอยู่ข้างๆ เขาคือหวังยี่เกาและจู้ยัน 

“มัน....มันยังไม่เห็นเรา” หวังยี่เกากล่าวขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่าต้องการแก้แค้น แต่เขาก็กลัวหลินหมิง การเคลื่อนไหวสามกระบวนท่าของหลินหมิงทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวด น่าอับอาย และสิ่งเหล่านั้นยังเป็นรอยแผลในจิตใจที่ทำลายความมั่นใจของเขามาจนถึงในวันนี้ 

จู้ยันกล่าวอย่างเรียบๆ “หยุดหวาดกลัวซะ และเลิกทำท่าน่าสมเพศได้แล้ว มีคนตั้งมากมายอยู่ที่นี่ มันไม่ได้มีตาหลังที่จะมามองเจ้า เจ้ากลัวมันงั้นรึ ไอ้คนบ้านนอกที่จะเข้าสู่ขั้นที่สองได้หรือยังก็ยังไม่รู้คนนั้น”

ช่องว่างระหว่างขั้นที่1และ2นั้นมีพละดำลังต่างกันอย่างยิ่ง เด็กบ้านนอกที่อายุ15ปี ที่ทำได้ถึงขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย โดยเฉพาะหลินหมิงที่มีมาจากครอบครัวที่ยากจนด้วยแล้ว แถมยังมีพรสวรรค์เพียงระดับ3

“ข้าว่าเจ้านั่นต้องฝึกอะไรประหลาดๆเป็นแน่ ขนาดข้ากว่าจะไปถึงการฝึกฝนขั้นที่สองได้ก็อายุ16ปีแล้ว เขาอาจจะฝืนฝึกฝนจนเกินกำลังและบาดเจ็บภายในก็เป็นได้ เจ้าโง่นั่นมันอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากคนพิการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

หวังยี่เกาสาปแช่งอย่างโหดร้าย ส่วนจู้ยันเองก็แอบดูถูกเจ้าคนขี้ประจบประแจงคนนี้ในใจ แม้ว่าหวังยี่เกาจะมียาหายากราคาแพง มันก็ยังทำได้เพียงมาถึงขั้นที่สองตอนอายุ16ปีเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นทักษะการต่อสู้ของมันก็ยังอ่อนสุดๆ ถ้าพ่อของมันไม่ใช่คนใหญ่คนโตในเมืองลิขิตฟ้า จู้ยันก็คงไม่มาทำตัวสนิทสนมเป็นมิตรกับมันอย่างแน่นอน 

จู้ยันกล่าวขึ้น “ตามหลักปกติแล้วมันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีการฝึกฝนกายภาพขั้นที่สองในเวลานี้ แต่หากมันมี1000เหรียญทองที่ได้จากเจ้าไปนั้นล่ะ มันจะเป็นเหตุผลที่ไอ้บ้านนอกนั้นจะไปถึงขั้นที่สองได้”

เมื่อได้ยินจู้ยันพูดแบบนั้น หวังยี่เกาหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าจู้ยันจะรู้เรื่องความอับอายของซะอีก(เขินสิมึง 555)

ทั้งๆที่หวังยี่เกาพยายามปิดเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ แต่มันก็ข่าวมันก็เผลแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คงยากที่จะมีซักคนที่จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้

แก…!!! ไอ้หมาบ้านนอก แกมันชาติชั่วสารเลวสิ้นดี

จู้ยันเลิกสนใจท่าทางของหวังยี่เกา สีหน้าของเขาดูมืดมน ถ้าหากจะว่าไปสำหรับเด็กอายุ16ปี ถ้าพละกำลังของมันก้าวผ่านขั้นที่สองไปได้ มันก็มีโอกาสได้เข้าร่วมสำนักเจ็ดแก่นแท้ ศิษย์หลายๆคนส่วนใหญ่ก็เข้ามาแบบนี้ สำหรับพวกคนเหล่านี้มักจะมียาโอสถราคาแพงที่คอยส่งเสริมให้บรรลุถึงขั้นที่สองได้ไม่ยาก 

ซึ่งอันที่จริงสำนักเจ็ดแก่นแท้ก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าทางตระกูลจะช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่ อย่างไรทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้  ฐานะของตระกูลก็ถือเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะใช้พลังการฝึกฝนของตัวเอง หรือใช้ยาโอสถช่วย พวกนั้นก็ประสบความสำเร็จเป็นนักสู้จากสำนักเจ็ดแก่นแท้เช่นเดิม 

สำหรับผู้ที่ต้องพึ่งยาโอสถในการก้าวขึ้นมายังขั้นที่สองเพื่อจะได้เขาสำนักเจ็ดแก่นแท้ พวกเขายังห่างชั้นกับหลินหมิงที่มีทักษะต่อสู้และประสบการณ์อีกมากนัก ดังนั้นโอกาสของหลินหมิงจึงมีมากกว่า

จู้ยันไม่ต้องการให้หลินหมิงได้เข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ เขาไม่ได้กลัวว่าหลินหมิงจะแข็งแกร่งกว่าเขา มันเป็นเพียงเด็กบ้านนอกพรสวรรค์ระดับสาม ซึ่งจู้ยันมั่นใจในตัวเองมากว่า แม้หลินหมิงจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดและเอาชนหวังยี่เกาได้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะหวังยี่เกามีการฝึกฝนกายภาพเพียงขึ้นที่สองเท่านั้น นอกจากความสามารถขึ้นที่สองที่ได้มากจากสาและโอสถที่ปราศจากการฝึกฝนแล้ว  มันยังมีทักษะที่อ่อนแอมาก

เขามีความมั่นใจมากว่าเขาจะสามารถอยู่เหนือหลินหมิงได้ตลอดเวลา หากหลินหมิงสอบเข้ามาได้จริงๆ มันคงจะไปกระตุ้นจิตใจของหลายยุยเยี่ยอย่างมากเป็นแน่

หลานยุยเยี่ยก็ยังไม่ลืมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินหมิง มันยังจะเหมือนเดิมอยู่รึเปล่าถ้าเจ้านั่นสามารถผ่านการทดสอบเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้เข้ามาได้ จู้ยันหลงรักหลายยุยเยี่ยครึ่งหนึ่งเป็นเพราะรูปโฉมอันงดงามของนาง อีกครึ่งเป็นความหึงหวนที่ไม่อาจให้มีชายใดมาอยู่นาง 


เนื่องจากตระกูลของจู้ยันมีความสัมพันธ์กับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงมีเส้นสายกับสำนักเจ็ดแก่นแท้อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม การรักษาความปลอดภัยของที่สำนักเจ็ดแก่นแท้เป็นกลางและเข้มงวดมาก ยากที่จะให้เส้นสายกีดกั้นหลินหมิงออกจากการเข้าทดสอบ แผนการเดียวที่อยู่ในหัวเขาก็เหลือเพียง.......ไม่ให้หลินหมิงได้มีโอกาสเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้