วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

MW#29 ทหารม้าลอยฟ้า

จู้ยันครุ่นคิดขณะจ้องมองแหวนบนนิ้วของเขา “พี่หวัง เมืองลิขิตฟ้าเองก็เป็นบ้านของท่าน ท่านคงมีเส้นสายความสัมพันธ์กับทางแม่ทัพพี่ชายของท่านอยู่บ้าง ท่านพอจะติดต่อให้ผู้ที่มีการฝึกฝนขั้นที่4ได้ซักคนหรือไม่” จู้ยันไม่แน่ใจในพลังที่แท้จริงของหลินหมิง หลินหมิงอาจจะเก่งกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ก็เป็นได้ เขาไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกับกรณีของหวังยี่เกา เพื่อความแน่ใจแล้วเขาไม่ควรส่งผู้ฝึกฝนขึ้นสามไปจัดการ การส่งส่งผู้ที่อยู่ในขั้นสี่ไปจัดการคงจะเป็นการแน่นอนและมีประสิทธิมากกว่า

หวังยี่เกากล่าว”ข้ารู้จักหลายคนที่อยู่ในการฝึกฝนขั้นที่4 แต่...พวกเขาเป็นคนอารักขาของท่านพ่อและท่านพี่ เพราะสิ่งที่ข้าทำไปก่อนหน้านั้น ท่านพ่อจึงออกคำสั่งให้ข้าไร้อำนาจที่จะสั่งนักรบในกองทัพของท่านพ่อ”

เหล่าผู้ที่มีการฝึกฝนขั้นที่4 ก็มักจะไม่ใช่พวกวัยรุ่น คนพวกนี้จะอายุประมาณ30ปีและอยู่ในตำแหน่งที่สูงด้วย เช่นเป็นผู้อารักขาส่วนตัว เป็นไปไม่ได้ที่หวังยี่เกาจะของร้องให้พวกเขาลดตัวลงมาทำงานต่ำๆอย่างจดการกับเด็กอายุ15ปีคนหนึ่ง

จู้ยันครุ่นคิดและกล่าวกับหวังยี่เกา “หัวหน้าผู้รักษาความปลอดภัยในครั้งนี้ มิใช่เฉ่าหมิงชานหรอกรึ ดูเหมือนเขาพึ่งจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าเมื่อเร็วนี้”

หวังยี่เกาแสดงสีหน้าประหลาดใจ แต่เขาก็พยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้ว พี่เฉ่าเองก็เป็นมิตรดีต่อข้าเช่นกัน”และ เฉ่าหมิงชานก็เป็นถึงหัวหน้าผู้รักษาความปลอดภัยของเมืองลิขิตฟ้า ผู้รักษาความปลอดภัยของที่นี่จะแบ่งเป็นสองส่วนก็คือกองกำลังทั่วไปและกองกำลังองครักษ์ กองกำลังทั่วไปจะรับผิดชอบในส่วนของชาวเมือง เช่นปราบโจรและรักษากฎหมาย ส่วนกองกำลังองครักษ์จะคอยอารักขาเชื้อพระวงศ์และกษัตริย์ และรวมถึงต่อต้านพวกกบฏ

“ฮ่า..ข้ารู้แล้วว่าจะจัดการไอ้หลินหมิงอย่างไร...”จู้ยันมองลอดผ่านช่องว่างของม่านออกไป และจ้องไปที่หลินหมิงดั่งงูพิษขณะที่ใบหน้าของเขาก็มืดลงเรื่อยๆ

การทดสอยเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้จะแบ่งเป็นสามตอน ทดสอบพละกำลัง ทดสอบความมุ่งมั่น ทดสอบความประณีต

ในตอนเช้านี้จะเป็นการทดสอบแรก การทดสอบพละกำลัง

การฝึกพละกำลังถือเป็นขั้นแรกที่จะก้าวการฝึกฝนขึ้นที่1 และก็เป็นจุดเริ่มต้นของทักษะการต่อสู้ทั้งมวล ถ้าพละกำลังไม่กล้าแข็งพอ การจะฝึกเลือดลม อวัยวะภายใน การแปรรูปกล้ามเนื้อและกระดูกก็เป็นอันสูญเปล่า

ด้วยเหตุนั้น พละกำลังจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อทักษะการต่อสู้อย่างมาก การประเมินกำลังนั้นก็ง่ายมาก หากผ่านการทดสอบไปได้ ก็จะเป็นการลดจำนวนคู่แข่งลงได้เยอะมาก

เพราะฉะนั้น ทางสำนักเจ็ดแก่นแท้จึงทำการทดสอบพละกำลังเป็นอันดับแรก

การทดสอบก็คือ จะมีหินที่สูงเท่ากับใหญ่กว่าสองเมตร มันจะมีแสงที่ยอดหินก้อนนั้น เมื่อมีคนมาชกที่หิน แสงก็จะปรากฏเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงพละกำลังของคนๆนั้นโดยจะบอกค่าได้ตั้งแต่ 100 จิ๋น ไปจนถึง 1000 จิ๋นถ้าหากออกแรงได้น้อยกว่านั้นจะไมมีอะไรเกิดขึ้น

แต่สำหรับผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของการฝึกฝนขั้นที่1 แม้จะมีพละกำลังขนาดบดขยี้ไม้ที่แข็งแกร่งได้ ทว่าโดยปกติพวกเขาจะมีพละกำลังเพียง 900 จิ๋น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านการทดสอบแรกไปได้

ซึ่งหลินหมิงก็เคยทดสอบพละกำลังของเจากับต้นไม้เหล็กมาก่อนแล้ว เขามีพละกำลังมากกว่าหนึ่งพันจิ๋นอย่างแน่นอน ตอนนี้ที่เขามาถึงการฝึกฝนขึ้นที่สองเขาคงมีพละกำลังประมาณ2600จิ๋นเป็นอย่างน้อย ทั้งหมดนี่เป็นเพราะวรยุทธ ‘จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล’ ซึ่งในการทดสอบนี้ พละกำลังก็ถือเป็นจุดเด่นของลินหมิงอยู่แล้ว ดั้งนั้นเขาจึงสามารถแข่งขันกับคนอื่นๆได้ในด้านนี้

ณ ลานกว้าง การทดสอบยังไม่ได้เริ่มขึ้นหลินหมิงกำลังทำสมาธิให้พร้อมอยู่บนแท่นหิน เขากำลังกำหนดลมหายใจของเขาอยู่

และในตอนนั้นก็มีเสียงดังตะโกนออกมาอย่างน่าลำคาน “หลบไป....หลบออกไป”

หลินหมิงเปิดตามองและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายอายุประมาณยี่สิบปีรีบกินอาหารทั้งที่ขี่ม้าอยู่ เขาสวมเกราะเงาวับเป็นประกาย ในมือของเขาถือหอกยาวกว่าสองเมตรหนาเท่ากับท่อนแขนเด็ก เขาเปิดทางฝูงชนด้วยการเหวี่ยงหอกนั้นพร้อมกับอีกมือที่กำลังควบม้าอยู่

เสียงกีบเท้าของม้าดังไปทั่ว เหล่าฝูงชนก็พากันกระจัดกระจายออกไปคนละทิศละทาง หลินหมิงมองด้วยท่าทีไม่พอใจ “วันนี้เป็นถึงวันทดสอบของสำนักเจ็ดแก่นแท้ ทางอาณาจักรควรต้องมีผู้รักษาความปลอดภัยมาคอยดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยมิใช่รึ เหตุใดคนบ้าแบบนั้นถึงเข้ามาก่อความวุ่นวานเช่นนี้ได้”

หลินหมิงพึ่งสังเกตได้ว่าถึงแม้เขาจะแหวกทางอย่างอุกอาจรุนแรงเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ชนกระแทกใครเลย ดูเหมือนว่าเขาจะมีทักษะการต่อสู้ที่ดีพอตัว รวมถึงทักษะในการขี่ม้าด้วย

หลินหมิงนั่งอยู่ที่ด้านข้างของล้านกว้างมาตั้งแต่แรกและก็ยังไม่ได้ลุกออกไปไหน ในตอนนั้นหลินหมิงก็ได้เห็นผู้ชายคนนั้นยิ้มลางๆ ก่อนจะสะบัดบังเหียนม้าและควบมาด้านหน้าของเขาไป

หลินหมิงรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเขา ม้าเร็วที่ถูกควบให้วิ่งมาอย่างว่องไว ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยหอกที่เขาถือนั้นน่าจะหนักอย่างน้อย 100 จิ๋น บวกกับความเร็วของม้าด้วยแล้ว หอกนั้นสามารถทลายกำแพงได้เลยทีเดียว

เมื่อเขาเข้ามาถึงระยะ10เมตร หอกของเขาก็เริ่มเปล่งแสงสีเหลืองออกมา

ทักษะการต่อสู่!!!

“พวกมันคงกังวลเกี่ยวกับข้ามากสินะ ถึงขนาดใช้ทักษะการต่อสู้มาจู่โจมข้าก่อน” หลินหมิงคิดขณะอ้าแขนขวาออกเล็กน้อย เพื่อให้พลังของ ‘ปฐมโกลาหล’ ได้โคจรในตัวเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อผู้ชายคนนั้นอยู่ในระยะ3เมตร หลินหมิงก็กระโจนออกมาจากที่ๆเขาเคยนั่งอยู่ หลินหมิงไม่ได้พยายามที่จะหลบ แต่พุ่งมือทั้งสองข้างออกไปเพื่อจับหอกไว้

ด้วยหอกที่อยู่ในมือ หลินหมิงโคจรพลังไปที่มือและเท้าของเขา เท้าขวาของเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว และติดกับแท่นหิน และด้วยแรงจากมือทั้งสอง ก็เกิดการปะทะของพละกำลังขนาด 2600 จิ๋นขึ้น

ลินหมิงคำรามออกมา ขณะที่มือยึดหอกเล่มนั้นเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นถูกหลินหมิงยกขึ้นผ่านหอกอย่างช้าๆราวกับหุ่นฟางขึ้นไปกลางอากาศ

ชายคนนั้นเป็นต้องประหลาดใจ เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังลอยได้อยู่กลางอากาศ และสายตาก็พร่ามัวขณะถูกหมุนเหวี่ยงออกไปอย่างรุนแรง เขากระแทกลงบนพื้นดินในเวลาต่อมา เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นเข้าสู่สมอง อาจเป็นไปได้ว่าอวัยวะภายในของเขาจะเคลื่อนตัวไปอยู่ผิดที่ผิดเสียแล้ว ราวกับพุ่งเข้าชนต้นไม้แล้วเลือดทะลักออกจากปาก

หลินหมิงเขวี้ยงหอกที่หนักถึง 100 จิ๋นทิ้งไปและนั่งลงกับพื้น ผู้ชายคนนั้นมีการฝึกฝนเพียงขั้นที่สองเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีม้าคอยหนุนแรงให้ แต่ถ้าเทียบกับ ‘จุดสูงสุดแห่งความโกลาหล’ แล้วละก็ มันยังห่างชั้นกันอีกหลายขุม

ฝูงชนที่มองอยู่ต่างตกตะลึง ทั้งๆที่ชายคนนั้นพุ่งตัวมาอย่างรวดเร็วเข้าปะทะกับหลินหมิง แต่กลายเป็นว่าเขากลับถูกหลินหมิงจับโยนออกมาไปอย่างรุนแรง คนคนนั้นไม่ต่งจากปีศาจที่ชั่วร้ายในคราบมนุษย์

จู้ยันที่ได้มองอยู่ไกลๆบนรถม้า สีหน้าของเขามืดมนลงเรื่อยๆ หวังยี่เกาไอ้คนไร้ประโยชน์ แม้แต่คนรู้จักของมันก็ไม่ต่างจากไอ้เศษสวะตัวหนึ่ง ทั้งๆที่มีม้าเสริมแรงและความเร็วให้ขนาดนั้น แต่ก็ยังถูกรับไว้ได้และบาดเจ็บสาหัสกลับมา

อย่างไรก็ตามเขาก็ได้คาดไว้แล้วถึงผลลัพธ์เช่นนี้ เขาแค่คิดไม่ถึงว่าหลินหมิงจะโต้ตอบด้วยความโหดร้ายถึงเพียงนี้

ทันใดนั้น เหล่าฝูงชนต่างก้าวถอยหลังออกไปและมีเสียงตะโกนดังลั่น “นี่มันเรื่องอะไรกัน มีผู้ใดกล้าทำร้ายผู้อื่นในที่สาธารณะของสำนักเจ็ดแก่นแท้ด้วยรึ”

ทันทีที่หลินหมิงหันไปมอง ก็เห็นหวังยี่เกาได้เดินนำฝูงชนมาที่เกิดเหตุ เขาเองได้แต่ดูถูกมันอยู่ในใจ ทั้งหมดนี้นี้ก็เป็นแผนการแก้แค้นของไอ้ชาติชั่วนี้งั้นสินะ

หวังยี่เกามองดูชายที่ถูกเหวี่ยงลอยกลางอากาศมากระแทกลงกับพื้น เขาถึงกับต้องใจหาย พลังกำลังของหลินหมิงสูงจนน่าตกใตจริงๆ แต่เขาก็ยังรักษาท่าทีที่สงบเอาไว้ เขากัดฟันแน่นและหันไปมองลินหมิงด้วยความโกรธแค้น “หลินหมิง เจ้าคนสารเลว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เจ้าทำร้ายคนของข้า ข้าจะไม่ถามเกี่ยวกับรายละเอียดเล็กน้อยนั้นเหล่านั้น แต่ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว”

“เอาเลยทุกคน เอาตัวมันมาให้ข้า จะฆ่ามันทิ้งเลยก็ย่อมได้ การถูกสังหารของมันข้าจะรับผิดชอบเอง”หวังยี่เกา ตะโกนอย่างกล้าหาญ แต่ผลของมันกลับไม่เป็นไปตามคาด ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่คนเดียว

“ฆ่ามันแล้วแกจะรับผิดชอบรึ แกมันโง่เง่า ถ้าหากมันฆ่าพวกเราแกจะรับผิดชอบอย่างไร”

ฝูงชนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มีการฝึกฝนเพียงขั้นที่1เท่านั้น น้อยนักที่จะมีผู้ไปถึงขั้นที่2รวมอยู่ พวกเขาซึ่งได้เห็นฉากน่าขนหัวลุกตรงหน้าที่ลินหมิงได้เหวี่ยงชายคนนั้นลอบไปในอากาศนอนคาที่อยู่จนถึงในตอนนี้ สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นภาพติดตาน่าหวาดกลัวในใจของพวกเขา



หลินหมิงพูดสวนกลับไปอย่างยั่วโมโห “สามเดือนมานี้พวกแกก็ยังอ่อนหัดไม่ต่างจากเดิม ยังอับอายกันไม่พออีกรึ”